ผิวหย่อนคล้อยแก้ยังไง ถ้ามองกระจกแล้วรู้สึกว่าหน้าเราดูเปลี่ยนไป ผิวที่เคยกระชับดูเต่งตึง เริ่มดูหย่อนลง ร่องแก้มลึกขึ้น หรือใบหน้าดูไม่สดใสเหมือนเดิม ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น แสงแดด มลภาวะ หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เราอาจไม่ทันได้สังเกต
แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ! เพราะเดี๋ยวนี้มีหลายวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมากระชับขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น หัตถการทางการแพทย์ อย่าง Ultherapy PRIME, Ultraformer III, Oligio, Sylfirm X plus หรือถ้าใครอยากดูแลตัวเองจากภายใน การทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน หลีกเลี่ยงแสงแดด และเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน
แล้ววิธีไหนที่เหมาะกับแต่ละคน? หัตถการแต่ละแบบต่างกันยังไง? วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังครับ!
แต่ละช่วงวัยมีการเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างไร?
ผิวหย่อนคล้อยไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในวัยกลางคน แต่เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นเร็วกว่าที่หลายคนคิด ตั้งแต่อายุ 25+ ร่างกายก็เริ่มสูญเสียคอลลาเจนแล้ว ซึ่งถ้าเราไม่ได้ดูแลให้ดี ปัญหานี้จะค่อย ๆ สะสมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเห็นได้ชัดขึ้นทุกปี
มาดูกันครับว่า แต่ละช่วงวัยต้องเจอกับอะไรบ้าง และทำไมบางคนอายุแค่ 30 ต้น ๆ แต่ผิวดูโรยราเหมือน 40+ ไปแล้ว
อายุ 25+ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่หลายคนมองไม่เห็น
- คอลลาเจนในผิวเริ่มลดลง ประมาณ 1% ต่อปี ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเหมือนเดิม
- ผิวอาจยังดูดีอยู่ แต่ความชุ่มชื้นเริ่มลดลง ผิวแห้งง่ายขึ้น
- ถ้าใช้ชีวิตหนัก นอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือโดนแดดบ่อย ๆ ผิวจะเสื่อมเร็วขึ้น
- เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาหรือหน้าผาก โดยเฉพาะเวลายิ้มหรือแสดงอารมณ์
อายุ 30+ ผิวเริ่มบางลง ความยืดหยุ่นลดลงแบบที่สัมผัสได้
- ร่องแก้มเริ่มชัดขึ้น กรอบหน้าเริ่มดูเบลอไม่คมชัดเหมือนเดิม
- ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยชัดเจนขึ้น
- เริ่มมีปัญหาผิวหมองคล้ำ แต่งหน้าแล้วไม่ติด หรือดูโทรมง่ายขึ้น
- ถ้าดูแลไม่ดี หรือไม่ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ผิวอาจแก่ก่อนวัยได้เร็วมาก
อายุ 40+ จุดที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดที่สุด
- ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกขึ้นแบบที่ไม่หายไปแม้จะไม่ขยับหน้า
- แก้มเริ่มตก ร่องแก้มลึกขึ้น และเหนียงเริ่มเห็นชัด
- ผิวใต้ตาเริ่มบางลง ดูล้าและโทรมง่ายขึ้น
- ผิวแห้งมากขึ้น เพราะไขมันใต้ผิวเริ่มลดลง
อายุ 50+ การฟื้นฟูของผิวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
- คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลดลงไปมาก ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น
- รูปหน้าเปลี่ยนไป เพราะโครงสร้างกระดูกใบหน้าหดตัวลง
- คอเริ่มเหี่ยวย่น ร่องแก้มลึกมาก และมีรอยพับที่แก้ไขได้ยากขึ้น
- ถ้าดูแลมาตลอด อาจยังพอควบคุมปัญหาได้ แต่ถ้าปล่อยปละละเลย อาจต้องใช้เทคโนโลยีช่วยฟื้นฟู
หัตถการอะไร ช่วยกระชับผิวหย่อนคล้อย (ไม่ต้องผ่าตัด)
1. Ulthera Prime
Ulthera Prime เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) เพื่อส่งผ่านพลังงานลงไปยังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และช่วยให้ผิวกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- เจ็บน้อยกว่า Ulthera รุ่นเดิม เพราะมีเทคนิคใหม่ที่ช่วยกระจายพลังงานให้สม่ำเสมอขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและลำคอ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดและแก้มห้อย
ระยะเวลาการเห็นผล: เริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
2. Ultraformer III
Ultraformer III เป็นเครื่อง HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยสามารถปรับระดับความลึกของพลังงานให้เหมาะกับแต่ละบริเวณของผิว
- ช่วยกระชับผิวได้หลายระดับ ตั้งแต่ผิวชั้นบน ไปจนถึงชั้น SMAS
- ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวหน้า คอ และเหนียง โดยไม่ต้องการทำศัลยกรรม
ระยะเวลาการเห็นผล: เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
3. Oligio
Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency – RF) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวแน่นขึ้นและริ้วรอยลดลง
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้แน่นขึ้น และลดความหย่อนคล้อย
- เจ็บน้อยกว่าการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ เพราะเป็นคลื่นความร้อนที่ค่อย ๆ ซึมเข้าสู่ชั้นผิว
- ช่วยให้ผิวดูแน่นและเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแก้มและแนวกราม
ระยะเวลาการเห็นผล: เห็นผลทันทีหลังทำ และค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. Sylfirm X plus
Sylfirm X plus เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ส่งผ่าน คลื่นความถี่วิทยุโดยเข็มขนาดเล็ก (Microneedling RF) ที่สามารถลงลึกและเจาะจงลงลึกเฉพาะบริเวณที่มีปัญหา โดยไม่กระทบเนื้อเยื่อรอบข้าง สามารถช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และลดรอยด่างดำจากฝ้าที่เกิดจากเส้นเลือกได้พร้อมกัน
- ช่วยยกกระชับและเพิ่มคอลาเจนใต้ผิว เช่น เหนียงและแก้ม
- ช่วยทำให้เม็ดสี และฝ้าลดลง
- ช่วยลดริ้วรอย หลุมสิวบางประเภท และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
ระยะเวลาการเห็นผล: เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน
5. HIFU
HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง คล้ายกับ Ultraformer III แต่มีหลายระดับคุณภาพตามแต่ละยี่ห้อ
- ช่วยยกกระชับใบหน้าและลำคอ โดยไม่ต้องพักฟื้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย และต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- สามารถทำได้บ่อยกว่าการทำ Ulthera Prime หรือ Thermage
ระยะเวลาการเห็นผล: เริ่มเห็นผลใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
ผิวหย่อนคล้อยแก้ยังไง วิธีเลือกหัตถการยกกระชับให้เหมาะกับสภาพผิว
การเลือกวิธีการ แก้ผิวหย่อนคล้อยหรือผิวหย่อนคล้อยทำยังไง ขึ้นอยู่กับ อายุผิว ปัญหาผิว และผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งสามารถพิจารณาได้ตามนี้
- อายุผิว 25-35 ปี ผิวเริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อย แต่ยังไม่หย่อนคล้อยมาก → HIFU หรือ Oligio
- อายุผิว 35-45 ปี ผิวเริ่มคล้อย กรอบหน้าเริ่มเบลอ → Ultraformer III
- อายุผิว 45 ปีขึ้นไป ผิวหย่อนคล้อยมาก มีไขมันสะสมใต้ผิว → Ulthera Prime หรือ
- หากยังไม่แน่ใจว่าเทคโนโลยีไหนเหมาะกับคุณ การเข้าปรึกษาคุณหมอเพื่อวิเคราะห์ปัญหาผิวก่อนตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แก้ผิวหย่อนคล้อย:
การเลือกครีมบำรุงที่ช่วยให้ผิวกระชับ ควรมีส่วนผสมอะไร?
เมื่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง การใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยชะลอความหย่อนคล้อยของผิวได้ หากเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึงและกระชับขึ้น สารสำคัญที่ควรมีในครีมบำรุง เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อย มีดังนี้
1. Retinol (เรตินอล): กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย
- เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้นและลดเลือนริ้วรอย
- ควรเริ่มต้นจากความเข้มข้นต่ำ เพื่อให้ผิวปรับตัวได้
เหมาะกับ: ผู้ที่มีริ้วรอยแรกเริ่ม หรือผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ
2. Peptides (เปปไทด์): ฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว
- เป็นสายโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น ลดความหย่อนคล้อย
- มีหลายชนิด เช่น Copper Peptides ที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิว
เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการให้ผิวแน่นขึ้น แต่ไม่สามารถใช้เรตินอลได้
3. Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิค แอซิด): เพิ่มความชุ่มชื้น ลดความเหี่ยวย่น
- ช่วยกักเก็บน้ำในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเด้งขึ้น
- ช่วยลดการสูญเสียน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวดูแก่เร็วขึ้น
- เมื่อผิวมีความชุ่มชื้น จะช่วยให้ดูตึงกระชับขึ้นโดยธรรมชาติ
เหมาะกับ: ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งหรือขาดน้ำ
4. Vitamin C (วิตามินซี): กระตุ้นคอลลาเจน และช่วยให้ผิวกระจ่างใส
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องคอลลาเจนจากการถูกทำลาย
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น
- ใช้ร่วมกับ เรตินอล หรือเปปไทด์ เพื่อเสริมประสิทธิภาพ
เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการให้ผิวกระจ่างใส และป้องกันการเสื่อมของคอลลาเจน
5. Niacinamide (ไนอาซินาไมด์): ลดการอักเสบ และเพิ่มความแข็งแรงของผิว
- เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- ลดการอักเสบ และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง และลดเลือนริ้วรอย
เหมาะกับ: ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาผิวอักเสบ
6. Collagen-Boosting Ingredients (สารที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน)
- เช่น สารสกัดจากสาหร่าย น้ำมันเมล็ดองุ่น และโปรตีนจากพืช
- ช่วยลดการเสื่อมของคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
- ทำให้ผิวดูอิ่มฟู และช่วยชะลอความหย่อนคล้อย
เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นขึ้นแบบธรรมชาติ
เคล็บลับการเลือกครีมบำรุงผิว ควรแบบไหนดี?
- หากต้องการลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก: เลือก เรตินอล + เปปไทด์
- หากต้องการให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มน้ำ: เลือก ไฮยาลูรอนิค แอซิด + วิตามินซี
- หากมีผิวแพ้ง่ายและต้องการบำรุงแบบอ่อนโยน: เลือก ไนอาซินาไมด์ + สารสกัดธรรมชาติ
อาหารที่ช่วยให้ผิวกระชับ ไม่หย่อนคล้อย
การดูแลผิวจากภายนอกด้วยครีมบำรุงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาความกระชับของผิว แต่ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนเพียงพอ ผิวก็จะเสื่อมลงเร็วขึ้น ดังนั้น การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น
1. อาหารที่ช่วยสร้างคอลลาเจน
คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ อาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้แก่
- ปลาแซลมอน – อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบของผิวและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ไข่ – มีกรดอะมิโนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้ดีขึ้น
- ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง – มีสารไอโซฟลาโวนที่ช่วยป้องกันการสลายของคอลลาเจน
- ผักใบเขียว เช่น คะน้า และบร็อคโคลี่ – มีวิตามินซีสูง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
2. อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
อนุมูลอิสระเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมลง และเร่งให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและรังสี UV
- เบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ และราสป์เบอร์รี่ – อุดมไปด้วยแอนโธไซยานิน ช่วยป้องกันการเสื่อมของคอลลาเจน
- มะเขือเทศ – มีไลโคปีนที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลดความเสื่อมของเซลล์
- แครอท – มีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวจากรังสี UV
- ชาเขียว และดาร์กช็อกโกแลต – มีสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดการอักเสบและชะลอความเสื่อมของผิว
3. อาหารที่มีกรดไขมันดี
ไขมันไม่ได้แย่เสมอไป โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น
- อะโวคาโด – อุดมไปด้วยวิตามินอีและไขมันดีที่ช่วยให้ผิวนุ่มและชุ่มชื้น
- น้ำมันมะกอก – มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และช่วยให้ผิวแข็งแรง
- วอลนัท และอัลมอนด์ – อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 และวิตามินอี ที่ช่วยปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน
4. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
บางอาหารอาจทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น และทำให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วขึ้นกว่าปกติ ควรลดหรืองดอาหารเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงของการเสื่อมของผิว
- น้ำตาลและแป้งขัดขาว
- ทำให้เกิดกระบวนการ ไกลเคชัน (Glycation) ที่ไปทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วขึ้น
- ขนมหวาน เบเกอรี่ น้ำอัดลม เป็นตัวการหลักที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้ง และดูโทรม
- เร่งให้ผิวสูญเสียความกระชับ และทำให้ร่องแก้มและริ้วรอยชัดขึ้น
- อาหารทอด และไขมันทรานส์
- ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ส่งผลให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น
- มักพบในอาหารจานด่วนและขนมขบเคี้ยว
พฤติกรรมที่ช่วยลดผิวหย่อนคล้อย
นอกจากการเลือกใช้ครีมบำรุงและการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนแล้ว พฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็มีผลโดยตรงต่อความกระชับของผิว หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ผิวจะฟื้นตัวและคงความเต่งตึงได้นานขึ้น
1. การล้างหน้าที่ถูกต้อง
หลายคนอาจมองข้ามเรื่องการล้างหน้า แต่ความจริงแล้ว การล้างหน้าอย่างถูกวิธีช่วยลดการทำลายคอลลาเจนและป้องกันการหย่อนคล้อยของผิว
- ควรล้างหน้าด้วย น้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนอาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
- ใช้ คลีนเซอร์ที่อ่อนโยน และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์สูง เพราะอาจทำให้ผิวแห้งและอ่อนแอ
- ไม่ควรถูหน้ารุนแรงหรือใช้ผ้าขนหนูเช็ดแรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและสูญเสียความยืดหยุ่น
2. การนวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
การนวดหน้าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผิวดูเฟิร์มและกระชับขึ้น เพราะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและทำให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น
- ใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ เป็นวงกลม โดยเริ่มจาก แนวกรามขึ้นไปจนถึงโหนกแก้ม
- สามารถใช้ ออยล์หรือเซรั่มบำรุงผิวระหว่างนวด เพื่อช่วยให้การนวดลื่นขึ้น และป้องกันการดึงรั้งผิว
- ควรนวดหน้าเป็นประจำวันละ 5-10 นาที เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อใบหน้ากระชับ
3. การออกกำลังกาย โดยเฉพาะโยคะใบหน้า
กล้ามเนื้อใบหน้ามีส่วนสำคัญในการพยุงโครงสร้างของผิว หากกล้ามเนื้อใบหน้าแข็งแรงขึ้น ผิวจะกระชับขึ้นตามไปด้วย
- ท่า “ปลาทองพองแก้ม” – ดูดแก้มเข้าไป แล้วพองออกเหมือนปลาทอง ทำค้างไว้ 5 วินาที ช่วยกระชับแก้ม
- ท่า “อ้าปากเป็นตัวโอ” – อ้าปากเป็นรูปตัวโอ แล้วเงยหน้าขึ้น ค้างไว้ 10 วินาที ช่วยลดเหนียงและกระชับคอ
- ท่า “ยิ้มแล้วดึงแก้มขึ้น” – ยิ้มกว้าง ๆ แล้วใช้ปลายนิ้วดันแก้มขึ้น ค้างไว้ 5 วินาที ทำให้ผิวบริเวณแก้มกระชับขึ้น
4. การนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูผิวได้ดีขึ้น
ร่างกายจะซ่อมแซมเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจน ในช่วงที่เรานอนหลับลึก หากนอนดึกเป็นประจำ จะทำให้ผิวฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
- ควรนอนให้ได้ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- นอนหงายแทนการนอนคว่ำหรือนอนตะแคง เพื่อลดแรงกดทับบนผิวหน้า
- ใช้ปลอกหมอนที่ทำจากผ้าไหมหรือซาติน เพื่อลดแรงเสียดสีบนผิวหน้า
5. หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ ที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย
หลายคนอาจไม่รู้ว่า การนอนคว่ำเป็นประจำอาจทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยเร็วขึ้น เพราะใบหน้าถูกกดทับกับหมอนเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดรอยย่นและร่องลึกบนผิว
- หากเป็นไปได้ ควร เปลี่ยนมานอนหงาย เพื่อลดการกดทับบนใบหน้า
- หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ควรเปลี่ยนข้างบ่อย ๆ เพื่อลดการกดทับเฉพาะจุด
- ใช้หมอนที่รองรับศีรษะและคอได้ดี เพื่อลดแรงกดบนใบหน้า
สรุป
ก่อนตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา การเข้าใจสาเหตุของผิวหย่อนคล้อยเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้อ่าน “ผิวหย่อนคล้อย คืออะไร เกิดจากอะไร วิธีเช็กอายุผิว” เพื่อทำความเข้าใจต้นเหตุของปัญหาและแนวทางป้องกันที่เหมาะสมก่อนเริ่มการรักษา