หลุมสิว เกิดจากอะไร หายเองได้ไหม รักษายังไงให้ผิวเรียบไว

ถ้าคุณกำลังรู้สึกไม่มั่นใจเพราะปัญหา “หลุมสิว” ที่ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า แม้สิวจะหายไปแล้ว บทความนี้หมออยากชวนคุณมาเข้าใจลึกถึงต้นเหตุของหลุมสิวว่าทำไมมันถึงไม่หายไปเอง และการรักษาแบบไหนถึงจะได้ผลจริง ปลอดภัย และไม่เสียเวลาเปล่า

เพราะหลุมสิวแต่ละประเภท มีโครงสร้างผิวที่เสียหายแตกต่างกัน การรักษาจึงต้องใช้เทคนิคที่แม่นยำเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ TCA CROSS หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง RF Microneedling (Sylfirm X Plus) และการตัดพังผืดใต้ผิว

หมอจะพาไปรู้จักทั้งสาเหตุ วิธีรักษา ข้อควรระวัง ราคา รวมถึงการเลือกคลินิกให้ปลอดภัยทุกขั้นตอน
อ่านจบ คุณจะเข้าใจหลุมสิวแบบลึกแต่เข้าใจง่าย และพร้อมตัดสินใจได้อย่างมั่นใจครับ

สารบัญ hide

หลุมสิวคืออะไร?

หลุมสิว” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อย และมักจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือหลังจากการอักเสบของสิวหายไปแล้วครับ หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นแค่ “รอยสิว” แต่จริงๆ แล้ว หลุมสิว (Acne Scar) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นร่องหรือหลุมลงไปในผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้นถูกทำลายอย่างถาวร ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เหมือนเดิม

หลุมสิวต่างจากรอยสิวทั่วไปยังไง?

รอยสิวธรรมดา มักจะเป็นแค่สีแดงหรือน้ำตาลจากการอักเสบ ซึ่งสามารถจางหายได้เองตามเวลา หรืออาจเร่งการฟื้นฟูด้วยยาทาและการดูแลผิวที่เหมาะสม

แต่หลุมสิว คือรอยแผลที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิว โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวหนองขนาดใหญ่ หากกดหรือแกะสิวแรงๆ ก็ยิ่งเสี่ยงทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อผิวลึกลงไปจนกลายเป็นหลุมครับ

ลักษณะของหลุมสิวมีกี่แบบ?

หลุมสิวมีหลายลักษณะ และแต่ละแบบจะตอบสนองต่อการรักษาต่างกันไป หมอขอเล่าให้เข้าใจคร่าวๆ ก่อนนะครับ (รายละเอียดเจาะลึกแต่ละประเภทจะอยู่ในหัวข้อถัดไป)

  1. หลุมสิวแบบหลุมเข็ม (Ice Pick Scar) – ลึก แคบ เป็นเหมือนรูเข็ม
  2. หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar Scar) – ขอบชัด ลึกปานกลาง เป็นเหลี่ยมๆ คล้ายกล่อง
  3. หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling Scar) – ขอบไม่ชัด ผิวเป็นคลื่นๆ ดูลึกแต่ไม่ชัดเจน

หลุมสิวจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างผิวที่ถูกทำลายลงไปด้วยครับ การรักษาที่ได้ผลจึงต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ลงลึกถึงชั้นผิว เช่น การใช้เลเซอร์, คลื่นพลังงาน หรือหัตถการเฉพาะทาง ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป

หลุมสิวเกิดจากอะไร?

จริงๆ แล้วหลุมสิวไม่ได้เกิดจาก “สิว” เพียงอย่างเดียวครับ แต่เกิดจากกระบวนการ ฟื้นฟูตัวเองของผิว หลังจากการอักเสบที่รุนแรงของสิว ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้ฟื้นฟูได้สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิด “ร่องลึก” หรือ “หลุม” ขึ้นแทนที่เนื้อเยื่อเดิมที่ถูกทำลาย

สาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมสิว

  1. การอักเสบของสิวที่ลุกลามลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) สิวอักเสบ โดยเฉพาะสิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์ มักทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ผิว เมื่อลดการอักเสบลดลง ผิวจะพยายามซ่อมแซมตัวเอง แต่ถ้าไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อได้พอ ก็จะเกิดเป็นหลุมสิวแทนครับ
  2. พฤติกรรมกดสิว แกะสิว หรือบีบสิวแรงๆ การกระทำเหล่านี้จะเร่งให้สิวอักเสบมากขึ้น และทำให้ผิวถูกทำลายลึกกว่าเดิม ส่งผลให้เนื้อเยื่อเสียหายมากขึ้น จนร่างกายซ่อมแซมได้ไม่เต็มที่
  3. การติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน เมื่อมีการอุดตันของไขมันในรูขุมขน ร่วมกับเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบลึกและส่งผลต่อชั้นโครงสร้างผิว
  4. พันธุกรรมและปัจจัยผิวเฉพาะบุคคล บางคนถึงแม้จะเป็นสิวไม่รุนแรง แต่ก็มีแนวโน้มเกิดหลุมสิวได้ง่ายกว่าคนอื่น อันนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างผิวและกลไกการสร้างคอลลาเจนครับ

ทำไมบางคนเป็นหลุมสิวง่ายกว่าคนอื่น?

จากประสบการณ์ของหมอเอง สำหรับคนที่ ผิวบาง, ผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาคอลลาเจนอยู่แล้ว คนที่ ไม่รักษาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปล่อยให้อักเสบลุกลาม หรือแม้แต่คนที่ ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิว จนทำให้สิวแย่ลง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหลุมสิวได้ง่ายขึ้นครับ

หลุมสิวมีกี่ประเภท?

หลุมสิวไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันหมดนะครับ แต่ละแบบมีความลึก ความกว้าง และโครงสร้างของผิวที่เสียหายต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อวิธีการรักษาโดยตรง ในทางการแพทย์ เราแบ่งหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้ครับ

1. หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

  • ลักษณะ: เป็นหลุมเล็กๆ ลึกๆ คล้ายถูกเจาะด้วยเข็ม หรือรูเข็มจิ๋ว
  • ความลึก: ลึกทะลุถึงชั้นผิวหนังแท้ (dermis) และอาจถึงชั้นไขมันใต้ผิว
  • ปัญหา: รักษายากที่สุด เพราะเนื้อเยื่อเสียหายลึก
  • วิธีรักษาที่ใช้บ่อย: TCA CROSS, เลเซอร์แบบ Fractional Ablative, RF Microneedling (Sylfirm-X Plus)

2. หลุมสิวแบบ Boxcar Scar

  • ลักษณะ: เป็นหลุมกว้าง มีขอบชัดเจน คล้ายกล่องหรือแอ่ง
  • ความลึก: ปานกลาง ไม่ลึกเท่า Ice Pick
  • ปัญหา: ทำให้ผิวดูขรุขระเห็นชัดเมื่อกระทบแสง
  • วิธีรักษาที่ใช้บ่อย: เลเซอร์ CO2, Erbium YAG, RF Microneedling, Subcision

3. หลุมสิวแบบ Rolling Scar

  • ลักษณะ: ผิวเป็นคลื่นๆ ไม่เรียบ ขอบไม่ชัดเจน
  • ความลึก: มักอยู่ในชั้นใต้ผิวลึก (subcutaneous tissue)
  • ปัญหา: ทำให้หน้าดูไม่เรียบ แต่จะเห็นชัดตอนแสงตกกระทบข้างๆ
  • วิธีรักษาที่ใช้บ่อย: Subcision (ตัดพังผืดใต้ผิว), ฟิลเลอร์, RF Microneedling, เลเซอร์บางชนิด

วิธีสังเกตหลุมสิวแต่ละประเภท (เบื้องต้น)

  • ถ้ามองแล้ว เป็นรูจิ๋วลึกๆ = Ice Pick
  • ถ้ามีลักษณะ เหลี่ยมๆ ชัดๆ กว้างๆ = Boxcar
  • ถ้ามองจากด้านข้างแล้ว ผิวดูเป็นคลื่น ไม่สม่ำเสมอ = Rolling

รักษาหลุมสิวยังไงให้ได้ผลจริง?

การรักษาหลุมสิวให้ได้ผลจริง จำเป็นต้องอิงกับ “ประเภทของหลุม” และ “ระดับความลึกของปัญหา” เป็นหลักครับ เพราะหลุมสิวแต่ละแบบตอบสนองต่อวิธีรักษาไม่เหมือนกันเลย

ในปัจจุบัน การรักษาหลุมสิวที่ได้ผลชัดเจนที่สุดมักเป็นการรักษาโดยแพทย์ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทาง ซึ่งสามารถลงลึกถึงโครงสร้างผิวที่เสียหายและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้โดยตรง

แนวทางการรักษาทางการแพทย์

  1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว (Laser Resurfacing) ใช้เลเซอร์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจน เช่น
    • Fractional CO2 Laser: ตอบโจทย์หลุมสิวแบบ Boxcar และ Rolling
    • Erbium YAG: สำหรับผิวบาง ลดรอยแดงหลังทำ
    • Pico Laser (PicoSure, PicoWay): เจ็บน้อยกว่า และช่วยเรื่องรอยร่วมด้วย
  2. RF Microneedling (เช่น Sylfirm X Plus, Secret RF) เป็นการใช้คลื่นวิทยุร่วมกับเข็มขนาดเล็ก เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในระดับลึก และทำลายพังผืดใต้หลุมสิว เหมาะมากสำหรับ Rolling และ Boxcar Scar ข้อดีเจ็บน้อยกว่าเลเซอร์, ฟื้นตัวไว, ปลอดภัยกับทุกสีผิว
  3. TCA CROSS หยดกรด TCA ลงในหลุมสิวแบบ Ice Pick โดยตรง เพื่อให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในตำแหน่งนั้นโดยเฉพาะ เหมาะกับหลุมลึกๆ แบบ Ice Pick ที่เลเซอร์แก้ไม่ไหว ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น เพราะถ้าเข้าผิวข้างเคียงอาจเกิดรอยไหม้ได้
  4. Subcision (ตัดพังผืดใต้หลุมสิว)
    ใช้เข็มปลายทู่สอดเข้าใต้ผิว แล้วตัดพังผืดที่ยึดผิวไว้ไม่ให้เรียบ เหมาะกับ Rolling Scar และหลุมที่มีพังผืดดึงรั้ง ทำคู่กับฟิลเลอร์หรือ RF Microneedling จะยิ่งเห็นผลไว
  5. ฟิลเลอร์ (Filler) ใช้เติมเต็มใต้หลุมสิวที่ลึกและเป็นพังผืด เช่น Rolling หรือ Boxcar คุณหมออาจใช้ฟิลเลอร์ชั่วคราวเพื่อประเมินผลก่อนเข้าสู่การรักษาถาวร

รักษาหลุมสิวด้วยวิธีธรรมชาติ ได้ไหม?

โดยทั่วไป วิธีธรรมชาติอย่างเช่นทาเซรั่มวิตามินซี หรือกรดผลไม้ (AHA/BHA) อาจช่วยผลัดผิว และลดรอยตื้นๆ ได้เล็กน้อยครับ แต่ไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวลึกๆ ที่เสียหายแล้วได้แบบการรักษาทางการแพทย์

การเลือกวิธีรักษาให้เหมาะกับหลุมสิวแต่ละประเภท

แม้จะมีเทคโนโลยีหลากหลาย แต่หากเลือกวิธีไม่เหมาะกับชนิดของหลุม ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ชัด หรือเสียเวลาโดยไม่จำเป็นครับ

1. Ice Pick Scar (หลุมสิวลึกเป็นรูเข็ม)

ลักษณะ: รูเล็กและลึก คล้ายถูกเจาะด้วยเข็ม
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:

  • TCA CROSS ➜ ตอบโจทย์ที่สุด เพราะเข้าตรงจุดในรูเล็ก
  • เลเซอร์ Ablative (CO2, Er:YAG) ➜ ช่วยกรณีหลุมไม่ลึกมาก
  • Punch Excision ➜ กรณีลึกมากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

หมายเหตุ: Ice Pick เป็นชนิดที่รักษายากที่สุด ต้องอาศัยความต่อเนื่องและเทคนิคเฉพาะทาง

2. Boxcar Scar (หลุมมีขอบชัด กว้างและลึกปานกลาง)

ลักษณะ: หลุมเหลี่ยม ขอบชัด ผิวดูขรุขระ
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:

  • Fractional CO2 หรือ Er:YAG Laser ➜ ลดขอบหลุมให้เรียบ
  • RF Microneedling (เช่น Sylfirm X) ➜ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกๆ
  • Subcision + ฟิลเลอร์ ➜ เติมเต็มและตัดพังผืดให้ผิวดูเรียบขึ้น

กรณีผิวบาง/แพ้ง่าย ➜ ควรใช้พลังงานต่ำ หรือใช้เลเซอร์ชนิดไม่ลอกผิว เช่น Pico หรือ Non-Ablative Laser

3. Rolling Scar (หลุมสิวเป็นคลื่น ไม่มีขอบชัด)

ลักษณะ: ผิวเป็นคลื่น ดูไม่เรียบเมื่อกระทบแสง
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:

  • Subcision ➜ ตัดพังผืดใต้หลุมให้ผิวยกขึ้น
  • RF Microneedling (Secret RF, Sylfirm X Plus) ➜ กระตุ้นคอลลาเจนลึก
  • ฟิลเลอร์ ➜ ใช้เติมหลังตัดพังผืด เพื่อผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น

Subcision ร่วมกับฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทำเลเซอร์เพียงอย่างเดียวในกรณี Rolling Scar​.

แนะนำเพิ่มเติม

  • ผิวคล้ำ / ผิวแพ้ง่าย ➜ ควรเลี่ยงเลเซอร์แบบลอกผิว (Ablative) และเน้น RF Microneedling หรือเลเซอร์แบบไม่ลอกผิวแทน
  • กรณีมีหลายประเภทผสมกัน ➜ ใช้การรักษาหลายเทคนิคผสมผสานร่วมกัน เช่น Subcision + RF Microneedling + ฟิลเลอร์

การรักษาหลุมสิวแบบไหนเหมาะกับใครบ้าง?

การรักษาหลุมสิวไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคนหรือทุกเวลาเสมอไปนะครับ หมอจะช่วยวิเคราะห์ให้ชัดว่าใครบ้างที่เหมาะสม และในสถานการณ์ไหนควรเลี่ยงการรักษาชั่วคราว

อายุที่เหมาะสมในการรักษาหลุมสิว

จริงๆ แล้วการรักษาหลุมสิวสามารถทำได้ตั้งแต่ ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย จนถึงวัยผู้ใหญ่เลยครับ โดยทั่วไป หมอจะแนะนำให้เริ่มรักษาเมื่อ สิวหยุดอักเสบแล้วอย่างน้อย 3-6 เดือน สภาพผิวมีความเสถียร ไม่ไวต่อการอักเสบง่าย มีการพักผ่อน ดูแลผิว และสุขภาพโดยรวมที่ดี

คนที่ยังมีสิวอยู่ รักษาหลุมสิวได้ไหม?

ไม่แนะนำให้รักษาหลุมสิวในขณะที่ยังมีสิวอักเสบ ครับ เพราะการทำเลเซอร์หรือหัตถการบางชนิดอาจกระตุ้นการอักเสบหรือรบกวนผิวที่ยังไม่สมบูรณ์

สถานการณ์

ควรทำ

ไม่ควรทำ

ยังมีสิวอักเสบทุกสัปดาห์

❌ ไม่ควรรักษาหลุมสิว

✔️ รักษาสิวให้หายก่อน

มีรอยสิวกับหลุมสิว แต่ไม่มีสิวอักเสบใหม่

✔️ เริ่มรักษาหลุมสิวได้

❌ หลีกเลี่ยงถ้ายังระคายเคือง

ผิวแพ้ง่าย มีอาการลอกแดงบ่อย

❌ รอให้ผิวแข็งแรงก่อน

✔️ ประเมินโดยแพทย์

ผลลัพธ์จากการรักษาหลุมสิวเป็นอย่างไร?

การรักษาหลุมสิวสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้จริงครับ โดยเฉพาะเมื่อใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพผิว และรักษาต่อเนื่องตามแผนที่แพทย์วางไว้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หมออยากเน้นคือ “หลุมสิวดีขึ้นได้มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเรียบ 100% ทุกคน” ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความลึกของหลุม สิ่งที่เคยทำมาแล้ว และการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนครับ

ผิวเรียบขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน?

จากงานวิจัยปี 2023 ใน Journal of Dermatologic Surgery พบว่า

  • เลเซอร์ Fractional CO2 ให้ผลลัพธ์ปรับเรียบผิวได้เฉลี่ย 50-70% หลังทำ 3–5 ครั้ง
  • RF Microneedling (เช่น Sylfirm X, Secret RF) ให้ผลดีเทียบเท่าเลเซอร์ และเสี่ยงการระคายเคืองน้อยกว่า
  • Subcision ร่วมกับฟิลเลอร์ สามารถให้ผลลัพธ์เร็วและชัดเจน โดยเฉพาะกับ Rolling Scar

หมายเหตุ: การเห็นผลชัดเจนมักเริ่มจากครั้งที่ 2-3 ขึ้นไป ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วเรียบเลยครับ

ควรรักษากี่ครั้งถึงเห็นผล?

วิธีรักษา

จำนวนครั้งที่แนะนำ

ระยะห่างแต่ละครั้ง

เลเซอร์ CO2 / Er:YAG

3–5 ครั้ง

ทุก 4–6 สัปดาห์

RF Microneedling

3–6 ครั้ง

ทุก 3–4 สัปดาห์

TCA CROSS

2–5 ครั้ง

ทุก 4 สัปดาห์

Subcision + ฟิลเลอร์

1–2 ครั้ง

ห่างกัน 6 เดือน

หลุมสิวรักษาหายขาดได้ไหม?

หลุมสิวไม่สามารถหายขาด 100% ได้ในทุกกรณี แต่สามารถ “ดีขึ้นอย่างชัดเจน” จนแต่งหน้าไม่ติดร่อง หรือไม่เห็นหลุมเมื่อถ่ายรูป หมอมีคนไข้หลายคนที่ผิวดีขึ้นจนไม่ต้องแต่งหน้ากลบ หรือไม่รู้สึกเสียความมั่นใจอีกต่อไปเลยครับ

ขั้นตอนการรักษาหลุมสิวโดยแพทย์

การรักษาหลุมสิวไม่ได้เป็นแค่การยิงเลเซอร์แล้วจบในครั้งเดียวนะครับ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผน ร่วมมือ และติดตามผลระยะยาว โดยมีขั้นตอนดังนี้ครับ:

1. การประเมินผิวและวางแผนการรักษา

  • แพทย์จะตรวจลักษณะหลุมสิวอย่างละเอียด: ชนิด ความลึก พังผืด
  • อาจมีการใช้แสงหรือกล้องขยายดูโครงสร้างผิว
  • ถ่ายรูปก่อนทำ เพื่อใช้เปรียบเทียบผลลัพธ์
  • วางแผนการรักษาแบบ “เฉพาะบุคคล” เช่น:
    • ผสมเทคนิคหลายอย่าง (เลเซอร์ + Subcision + ฟิลเลอร์)
    • กำหนดจำนวนครั้ง และระยะห่างของแต่ละรอบ

ตัวอย่างเช่น คนที่มีหลุม Ice Pick และ Rolling พร้อมกัน อาจได้แผนรักษาแบบ TCA CROSS + Subcision + RF Microneedling ควบคู่กัน

2. เตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา

  • หยุดใช้ Retinol, AHA, BHA อย่างน้อย 3–7 วันก่อนทำ
  • หากมีประวัติเคยเป็นเริม แพทย์อาจให้ยาป้องกัน
  • งดแว็กซ์ ขัดหน้า หรือทรีตเมนต์ที่ระคายผิว
  • แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ

3. ขั้นตอนระหว่างทำ

ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือก

  • เลเซอร์: ทายาชาเฉพาะที่ ยิงเลเซอร์ใช้เวลา 20–45 นาที
  • RF Microneedling: ทายาชา เจาะพร้อมส่งพลังงาน RF ลึกถึงชั้นผิว
  • TCA CROSS: หยดกรด TCA จุดต่อจุดในหลุม
  • Subcision: ใช้เข็มปลายทู่สอดใต้ผิวเพื่อตัดพังผืด
  • ฟิลเลอร์: เติมใต้หลุมหลังทำ Subcision เพื่อผลทันที

4. หลังการรักษา

  • ผิวอาจมีอาการแดง บวม หรือรู้สึกตึงเล็กน้อยภายใน 1–3 วัน
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด และงดแต่งหน้าประมาณ 1–3 วัน (ตามหัตถการ)
  • ใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยนและช่วยซ่อมแซมผิว เช่น กลุ่ม B5, Cica, Ceramide
  • แพทย์อาจให้ยาทาหรือยากินลดการอักเสบร่วมด้วย

หมอจะนัดติดตามผลทุก 3–4 สัปดาห์ เพื่อปรับแผนหากจำเป็น

การดูแลผิวหลังรักษาหลุมสิว

หลังจากรับการรักษาหลุมสิว ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ RF หรือหัตถการอื่นๆ ผิวของเราจะอยู่ในภาวะที่บอบบางและต้องการการฟื้นฟูอย่างอ่อนโยน หมอขอแนะนำขั้นตอนการดูแลอย่างถูกต้องตามนี้ครับ

ข้อควรระวังหลังทำเลเซอร์หรือหัตถการ

  1. งดแต่งหน้า 1–3 วันแรก โดยเฉพาะหลังเลเซอร์หรือ RF เพราะรูขุมขนยังเปิดและผิวบอบบาง
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเข้มงวด 1–2 สัปดาห์ แนะนำให้ใส่หมวกปีกกว้าง, ใส่หน้ากาก, ทาครีมกันแดดแบบ Physical (เช่น Zinc oxide, Titanium dioxide)
  3. งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกหรือร้อนจัด เช่น ซาวน่า วิ่งกลางแดด หรือออกกำลังกายหนักใน 48 ชม. แรก
  4. หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่ระคายเคืองผิว เช่น AHA, BHA, Retinol, Vitamin C ความเข้มข้นสูง

สกินแคร์ที่ควรใช้หลังการรักษา

  • เจลหรือครีมกลุ่มบำรุง Barrier ผิว: เช่น กลุ่ม Panthenol (B5), Madecassoside (Cica), Ceramide ช่วยให้ผิวสมานแผลเร็วขึ้น ลดการลอกและแห้งตึง
  • ครีมกันแดดสูตรอ่อนโยน ค่า SPF50+ PA+++ และไม่มีแอลกอฮอล์ หรือสารกันเสียแรงๆ หากผิวบอบบาง อาจใช้กันแดดแบบครีม (ไม่ใช่เจล) จะสบายผิวมากกว่า
  • สเปรย์น้ำแร่ / สเปรย์ปลอบผิว ใช้ฉีดให้เย็นระหว่างวัน ช่วยลดการระคายเคือง

พฤติกรรมที่ช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น

  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นจากภายใน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะช่วงที่เรานอน ร่างกายจะซ่อมแซมผิวได้ดีที่สุด
  • รับประทานอาหารที่มี Zinc, Vitamin A, C, E ช่วยในการสร้างคอลลาเจนใหม่

แนะนำเพิ่มเติม: ช่วง 7 วันหลังการรักษา คือ “ช่วงทองของการฟื้นฟูผิว” ยิ่งดูแลดีเท่าไหร่ โอกาสที่ผิวจะเรียบ สม่ำเสมอ และรอยแดงหายไวก็จะยิ่งสูงครับ

รักษาหลุมสิวราคาเท่าไหร่?

ราคาการรักษาหลุมสิวอาจมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เทคโนโลยีที่ใช้ ประสบการณ์ของแพทย์ และจำนวนครั้งที่ต้องทำเพื่อให้เห็นผลชัดเจนครับ

ราคา/ครั้ง (บาท)

วิธีรักษา

หมายเหตุ

Fractional CO2 Laser

3,000 – 8,000

ยิ่งคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ ราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อย

RF Microneedling (เช่น Sylfirm X, Secret RF)

6,000 – 15,000

ปลอดภัยกับทุกสีผิว เหมาะกับ Rolling / Boxcar

TCA CROSS

1,000 – 3,000

ราคาต่อจุด หรือคอร์สรวมหลายจุด

Subcision (ตัดพังผืด)

5,000 – 12,000

อาจรวมยาชาและค่าบริการแพทย์

ฟิลเลอร์หลุมสิว (Dermal Filler)

8,000 – 18,000 / 1 cc

เห็นผลเร็ว แต่ผลอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

หลุมสิวมีอันตรายไหม?

ในแง่ของ “ตัวหลุมสิว” เองนั้น ไม่ใช่ภาวะอันตราย ครับ แต่สิ่งที่อาจเป็นปัญหาคือ “ผลกระทบต่อจิตใจ” เช่น ความไม่มั่นใจ หรือความเครียดจากรูปลักษณ์ และที่สำคัญคือ ผลข้างเคียงจากการรักษา หากทำโดยไม่มีความรู้หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาหลุมสิว

  1. ผิวไหม้ / รอยดำถาวร (PIH) มักเกิดจากเลเซอร์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป โดยเฉพาะกับผิวสีคล้ำ
  2. ติดเชื้อหลังทำหัตถการ หากทำในสถานที่ที่ไม่สะอาด หรือดูแลหลังทำไม่เหมาะสม
  3. อาการแพ้หรือระคายเคือง บางคนอาจแพ้ยาชา หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังเลเซอร์
  4. รอยแผล หรือหลุมแย่ลง เกิดได้จากการทำหัตถการแบบผิดเทคนิค เช่น TCA CROSS ที่หยดเกินขอบหลุม หรือ Subcision ที่ไม่แม่นยำ

รักษาหลุมสิวครั้งแรก เห็นผลเลยไหม?

บางคนอาจรู้สึกผิวเรียบขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ครั้งแรก โดยเฉพาะหากทำ Subcision หรือฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย แต่โดยทั่วไปแล้ว…การเปลี่ยนแปลงชัดเจนจะเริ่มเห็น หลังการรักษา 2–3 ครั้งขึ้นไป

เนื่องจากผิวต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 4–8 สัปดาห์ต่อรอบ ขึ้นกับแต่ละเทคนิค

ควรรักษาหลายครั้งไหมถึงจะเห็นผลชัดเจน?

วิธีรักษา

ระยะเวลาเริ่มเห็นผล

จำนวนครั้งที่แนะนำ

เลเซอร์ CO2 / Er:YAG

4–6 สัปดาห์

3–5 ครั้ง

RF Microneedling (Sylfirm X)

3–4 สัปดาห์

3–6 ครั้ง

TCA CROSS

1 เดือน

2–5 ครั้ง

Subcision + ฟิลเลอร์

เห็นผลบางส่วนทันที

1–2 ครั้ง

ฟิลเลอร์เดี่ยว

เห็นผลทันที

อยู่ได้นาน 6–12 เดือน

สรุป

หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการอักเสบลึกของสิวจนผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ไม่ทัน ส่งผลให้เกิดร่องลึกที่รักษาเองไม่ได้ การรักษาที่ได้ผลต้องอิงกับประเภทของหลุม เช่น Ice Pick, Boxcar หรือ Rolling โดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์, RF Microneedling (Sylfirm X Plus), Subcision หรือ TCA CROSS ร่วมกับการดูแลผิวหลังทำอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนหลัง 2–3 ครั้งขึ้นไป ที่สำคัญควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ มีใบรับรอง และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้ปลอดภัยและได้ผลจริง Smooth Clinic ยินดีให้บริการครับ

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา