
ถ้าคุณกำลังรู้สึกไม่มั่นใจเพราะปัญหา “หลุมสิว” ที่ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า แม้สิวจะหายไปแล้ว บทความนี้หมออยากชวนคุณมาเข้าใจลึกถึงต้นเหตุของหลุมสิวว่าทำไมมันถึงไม่หายไปเอง และการรักษาแบบไหนถึงจะได้ผลจริง ปลอดภัย และไม่เสียเวลาเปล่า
เพราะหลุมสิวแต่ละประเภท มีโครงสร้างผิวที่เสียหายแตกต่างกัน การรักษาจึงต้องใช้เทคนิคที่แม่นยำเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ TCA CROSS หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง RF Microneedling (Sylfirm X Plus) และการตัดพังผืดใต้ผิว
หมอจะพาไปรู้จักทั้งสาเหตุ วิธีรักษา ข้อควรระวัง ราคา รวมถึงการเลือกคลินิกให้ปลอดภัยทุกขั้นตอน
อ่านจบ คุณจะเข้าใจหลุมสิวแบบลึกแต่เข้าใจง่าย และพร้อมตัดสินใจได้อย่างมั่นใจครับ
“หลุมสิว” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อย และมักจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือหลังจากการอักเสบของสิวหายไปแล้วครับ หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นแค่ “รอยสิว” แต่จริงๆ แล้ว หลุมสิว (Acne Scar) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นร่องหรือหลุมลงไปในผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้นถูกทำลายอย่างถาวร ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เหมือนเดิม
รอยสิวธรรมดา มักจะเป็นแค่สีแดงหรือน้ำตาลจากการอักเสบ ซึ่งสามารถจางหายได้เองตามเวลา หรืออาจเร่งการฟื้นฟูด้วยยาทาและการดูแลผิวที่เหมาะสม
แต่หลุมสิว คือรอยแผลที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิว โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวหนองขนาดใหญ่ หากกดหรือแกะสิวแรงๆ ก็ยิ่งเสี่ยงทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อผิวลึกลงไปจนกลายเป็นหลุมครับ
หลุมสิวมีหลายลักษณะ และแต่ละแบบจะตอบสนองต่อการรักษาต่างกันไป หมอขอเล่าให้เข้าใจคร่าวๆ ก่อนนะครับ (รายละเอียดเจาะลึกแต่ละประเภทจะอยู่ในหัวข้อถัดไป)
หลุมสิวจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างผิวที่ถูกทำลายลงไปด้วยครับ การรักษาที่ได้ผลจึงต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ลงลึกถึงชั้นผิว เช่น การใช้เลเซอร์, คลื่นพลังงาน หรือหัตถการเฉพาะทาง ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป
จริงๆ แล้วหลุมสิวไม่ได้เกิดจาก “สิว” เพียงอย่างเดียวครับ แต่เกิดจากกระบวนการ ฟื้นฟูตัวเองของผิว หลังจากการอักเสบที่รุนแรงของสิว ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้ฟื้นฟูได้สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิด “ร่องลึก” หรือ “หลุม” ขึ้นแทนที่เนื้อเยื่อเดิมที่ถูกทำลาย
จากประสบการณ์ของหมอเอง สำหรับคนที่ ผิวบาง, ผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาคอลลาเจนอยู่แล้ว คนที่ ไม่รักษาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปล่อยให้อักเสบลุกลาม หรือแม้แต่คนที่ ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิว จนทำให้สิวแย่ลง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหลุมสิวได้ง่ายขึ้นครับ
หลุมสิวไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันหมดนะครับ แต่ละแบบมีความลึก ความกว้าง และโครงสร้างของผิวที่เสียหายต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อวิธีการรักษาโดยตรง ในทางการแพทย์ เราแบ่งหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้ครับ
การรักษาหลุมสิวให้ได้ผลจริง จำเป็นต้องอิงกับ “ประเภทของหลุม” และ “ระดับความลึกของปัญหา” เป็นหลักครับ เพราะหลุมสิวแต่ละแบบตอบสนองต่อวิธีรักษาไม่เหมือนกันเลย
ในปัจจุบัน การรักษาหลุมสิวที่ได้ผลชัดเจนที่สุดมักเป็นการรักษาโดยแพทย์ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทาง ซึ่งสามารถลงลึกถึงโครงสร้างผิวที่เสียหายและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้โดยตรง
แนวทางการรักษาทางการแพทย์
โดยทั่วไป วิธีธรรมชาติอย่างเช่นทาเซรั่มวิตามินซี หรือกรดผลไม้ (AHA/BHA) อาจช่วยผลัดผิว และลดรอยตื้นๆ ได้เล็กน้อยครับ แต่ไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวลึกๆ ที่เสียหายแล้วได้แบบการรักษาทางการแพทย์
แม้จะมีเทคโนโลยีหลากหลาย แต่หากเลือกวิธีไม่เหมาะกับชนิดของหลุม ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ชัด หรือเสียเวลาโดยไม่จำเป็นครับ
ลักษณะ: รูเล็กและลึก คล้ายถูกเจาะด้วยเข็ม
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:
หมายเหตุ: Ice Pick เป็นชนิดที่รักษายากที่สุด ต้องอาศัยความต่อเนื่องและเทคนิคเฉพาะทาง
ลักษณะ: หลุมเหลี่ยม ขอบชัด ผิวดูขรุขระ
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:
กรณีผิวบาง/แพ้ง่าย ➜ ควรใช้พลังงานต่ำ หรือใช้เลเซอร์ชนิดไม่ลอกผิว เช่น Pico หรือ Non-Ablative Laser
ลักษณะ: ผิวเป็นคลื่น ดูไม่เรียบเมื่อกระทบแสง
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:
Subcision ร่วมกับฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทำเลเซอร์เพียงอย่างเดียวในกรณี Rolling Scar.
การรักษาหลุมสิวไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคนหรือทุกเวลาเสมอไปนะครับ หมอจะช่วยวิเคราะห์ให้ชัดว่าใครบ้างที่เหมาะสม และในสถานการณ์ไหนควรเลี่ยงการรักษาชั่วคราว
จริงๆ แล้วการรักษาหลุมสิวสามารถทำได้ตั้งแต่ ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย จนถึงวัยผู้ใหญ่เลยครับ โดยทั่วไป หมอจะแนะนำให้เริ่มรักษาเมื่อ สิวหยุดอักเสบแล้วอย่างน้อย 3-6 เดือน สภาพผิวมีความเสถียร ไม่ไวต่อการอักเสบง่าย มีการพักผ่อน ดูแลผิว และสุขภาพโดยรวมที่ดี
ไม่แนะนำให้รักษาหลุมสิวในขณะที่ยังมีสิวอักเสบ ครับ เพราะการทำเลเซอร์หรือหัตถการบางชนิดอาจกระตุ้นการอักเสบหรือรบกวนผิวที่ยังไม่สมบูรณ์
|
สถานการณ์ |
ควรทำ |
ไม่ควรทำ |
|---|---|---|
|
ยังมีสิวอักเสบทุกสัปดาห์ |
❌ ไม่ควรรักษาหลุมสิว |
✔️ รักษาสิวให้หายก่อน |
|
มีรอยสิวกับหลุมสิว แต่ไม่มีสิวอักเสบใหม่ |
✔️ เริ่มรักษาหลุมสิวได้ |
❌ หลีกเลี่ยงถ้ายังระคายเคือง |
|
ผิวแพ้ง่าย มีอาการลอกแดงบ่อย |
❌ รอให้ผิวแข็งแรงก่อน |
✔️ ประเมินโดยแพทย์ |
การรักษาหลุมสิวสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้จริงครับ โดยเฉพาะเมื่อใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพผิว และรักษาต่อเนื่องตามแผนที่แพทย์วางไว้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หมออยากเน้นคือ “หลุมสิวดีขึ้นได้มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเรียบ 100% ทุกคน” ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความลึกของหลุม สิ่งที่เคยทำมาแล้ว และการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนครับ
จากงานวิจัยปี 2023 ใน Journal of Dermatologic Surgery พบว่า
หมายเหตุ: การเห็นผลชัดเจนมักเริ่มจากครั้งที่ 2-3 ขึ้นไป ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วเรียบเลยครับ
|
วิธีรักษา |
จำนวนครั้งที่แนะนำ |
ระยะห่างแต่ละครั้ง |
|---|---|---|
|
เลเซอร์ CO2 / Er:YAG |
3–5 ครั้ง |
ทุก 4–6 สัปดาห์ |
|
RF Microneedling |
3–6 ครั้ง |
ทุก 3–4 สัปดาห์ |
|
TCA CROSS |
2–5 ครั้ง |
ทุก 4 สัปดาห์ |
|
Subcision + ฟิลเลอร์ |
1–2 ครั้ง |
ห่างกัน 6 เดือน |
หลุมสิวไม่สามารถหายขาด 100% ได้ในทุกกรณี แต่สามารถ “ดีขึ้นอย่างชัดเจน” จนแต่งหน้าไม่ติดร่อง หรือไม่เห็นหลุมเมื่อถ่ายรูป หมอมีคนไข้หลายคนที่ผิวดีขึ้นจนไม่ต้องแต่งหน้ากลบ หรือไม่รู้สึกเสียความมั่นใจอีกต่อไปเลยครับ
การรักษาหลุมสิวไม่ได้เป็นแค่การยิงเลเซอร์แล้วจบในครั้งเดียวนะครับ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผน ร่วมมือ และติดตามผลระยะยาว โดยมีขั้นตอนดังนี้ครับ:
ตัวอย่างเช่น คนที่มีหลุม Ice Pick และ Rolling พร้อมกัน อาจได้แผนรักษาแบบ TCA CROSS + Subcision + RF Microneedling ควบคู่กัน
ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือก
หมอจะนัดติดตามผลทุก 3–4 สัปดาห์ เพื่อปรับแผนหากจำเป็น
หลังจากรับการรักษาหลุมสิว ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ RF หรือหัตถการอื่นๆ ผิวของเราจะอยู่ในภาวะที่บอบบางและต้องการการฟื้นฟูอย่างอ่อนโยน หมอขอแนะนำขั้นตอนการดูแลอย่างถูกต้องตามนี้ครับ
แนะนำเพิ่มเติม: ช่วง 7 วันหลังการรักษา คือ “ช่วงทองของการฟื้นฟูผิว” ยิ่งดูแลดีเท่าไหร่ โอกาสที่ผิวจะเรียบ สม่ำเสมอ และรอยแดงหายไวก็จะยิ่งสูงครับ
ราคาการรักษาหลุมสิวอาจมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เทคโนโลยีที่ใช้ ประสบการณ์ของแพทย์ และจำนวนครั้งที่ต้องทำเพื่อให้เห็นผลชัดเจนครับ
ราคา/ครั้ง (บาท)
|
วิธีรักษา |
หมายเหตุ |
|
|---|---|---|
|
Fractional CO2 Laser |
3,000 – 8,000 |
ยิ่งคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ ราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อย |
|
RF Microneedling (เช่น Sylfirm X, Secret RF) |
6,000 – 15,000 |
ปลอดภัยกับทุกสีผิว เหมาะกับ Rolling / Boxcar |
|
TCA CROSS |
1,000 – 3,000 |
ราคาต่อจุด หรือคอร์สรวมหลายจุด |
|
Subcision (ตัดพังผืด) |
5,000 – 12,000 |
อาจรวมยาชาและค่าบริการแพทย์ |
|
ฟิลเลอร์หลุมสิว (Dermal Filler) |
8,000 – 18,000 / 1 cc |
เห็นผลเร็ว แต่ผลอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี |
ในแง่ของ “ตัวหลุมสิว” เองนั้น ไม่ใช่ภาวะอันตราย ครับ แต่สิ่งที่อาจเป็นปัญหาคือ “ผลกระทบต่อจิตใจ” เช่น ความไม่มั่นใจ หรือความเครียดจากรูปลักษณ์ และที่สำคัญคือ ผลข้างเคียงจากการรักษา หากทำโดยไม่มีความรู้หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
บางคนอาจรู้สึกผิวเรียบขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ครั้งแรก โดยเฉพาะหากทำ Subcision หรือฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย แต่โดยทั่วไปแล้ว…การเปลี่ยนแปลงชัดเจนจะเริ่มเห็น หลังการรักษา 2–3 ครั้งขึ้นไป
เนื่องจากผิวต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 4–8 สัปดาห์ต่อรอบ ขึ้นกับแต่ละเทคนิค
|
วิธีรักษา |
ระยะเวลาเริ่มเห็นผล |
จำนวนครั้งที่แนะนำ |
|---|---|---|
|
เลเซอร์ CO2 / Er:YAG |
4–6 สัปดาห์ |
3–5 ครั้ง |
|
RF Microneedling (Sylfirm X) |
3–4 สัปดาห์ |
3–6 ครั้ง |
|
TCA CROSS |
1 เดือน |
2–5 ครั้ง |
|
Subcision + ฟิลเลอร์ |
เห็นผลบางส่วนทันที |
1–2 ครั้ง |
|
ฟิลเลอร์เดี่ยว |
เห็นผลทันที |
อยู่ได้นาน 6–12 เดือน |
หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการอักเสบลึกของสิวจนผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ไม่ทัน ส่งผลให้เกิดร่องลึกที่รักษาเองไม่ได้ การรักษาที่ได้ผลต้องอิงกับประเภทของหลุม เช่น Ice Pick, Boxcar หรือ Rolling โดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์, RF Microneedling (Sylfirm X Plus), Subcision หรือ TCA CROSS ร่วมกับการดูแลผิวหลังทำอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนหลัง 2–3 ครั้งขึ้นไป ที่สำคัญควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ มีใบรับรอง และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้ปลอดภัยและได้ผลจริง Smooth Clinic ยินดีให้บริการครับ