ฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้า เพิ่มมิติ ดูดีทุกองศา ไม่ต้องศัลย์!

คางเป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมของรูปหน้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความยาว ความเรียว หรือองศาของคาง ล้วนมีผลต่อการรับรู้ความสมดุลของใบหน้าโดยรวม หากคางสั้น คางตัด หรือคางถอย อาจทำให้ใบหน้าดูสั้น ขาดมิติ หรือไม่ชัดเจน

ฟิลเลอร์คาง จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมในปัจจุบันสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาว เสริมมิติให้ใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น โดยแพทย์สามารถออกแบบทรงคางให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์คาง ตั้งแต่ประเภทฟิลเลอร์ เทคนิคการฉีด ไปจนถึงการเตรียมตัวก่อน–หลังทำ และคำถามที่หลายคนสงสัย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุด

สารบัญ hide

ฟิลเลอร์คางคืออะไร?

ฟิลเลอร์คาง คือการฉีดสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ซึ่งเป็นสารเติมเต็มที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำและให้ความยืดหยุ่นสูง เข้าไปยังบริเวณปลายคางหรือแนวกรอบคาง เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

การเติมฟิลเลอร์บริเวณคางเหมาะกับผู้ที่มีปัญหา เช่น คางสั้น คางถอย คางตัด หรือรูปหน้ากลม เพราะช่วยให้ใบหน้าดูยาวเรียวขึ้น เพิ่มความสมดุลระหว่างช่วงกลางหน้าและช่วงล่าง และยังช่วยเสริมให้กรอบหน้าดูชัดขึ้นจากด้านข้างและมุมเฉียง

ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้กับคางจะต้องมีลักษณะ ค่อนข้างคงตัวและสามารถขึ้นรูปได้ดี เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์คงตำแหน่งและไม่ไหลผิดรูปเมื่อขยับหรือพูด

หัตถการนี้ได้รับความนิยมเพราะทำได้เร็ว ไม่ต้องพักฟื้น และเห็นผลทันทีหลังฉีด โดยใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที และหากไม่พอใจในผลลัพธ์ ยังสามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์เฉพาะ

ฟิลเลอร์คาง vs เสริมคางซิลิโคน – ต่างกันยังไง? (ภาษาไทย)

แม้ ฟิลเลอร์คาง และ การเสริมคางด้วยซิลิโคน จะมีเป้าหมายเดียวกันคือ “การปรับรูปคางให้ได้สัดส่วน” แต่ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันชัดเจนในเรื่องของ ขั้นตอนการทำ ระยะเวลาพักฟื้น ความยืดหยุ่น และผลลัพธ์ระยะยาว

จุดต่างระหว่างฟิลเลอร์คาง vs เสริมคางซิลิโคน

หัวข้อเปรียบเทียบ ฟิลเลอร์คาง เสริมคางซิลิโคน
ลักษณะการทำ ฉีดสารเติมเต็ม (HA) ไม่ต้องผ่าตัด ผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคนถาวร
ระยะเวลาทำ 15–30 นาที 1–2 ชั่วโมง
การพักฟื้น แทบไม่ต้องพักฟื้น พักฟื้นประมาณ 5–7 วัน
เห็นผลลัพธ์เมื่อใด เห็นผลทันทีหลังฉีด เห็นผลหลังยุบบวม (7–14 วัน)
อายุการคงตัว 6–18 เดือน แล้วแต่ชนิดฟิลเลอร์ ถาวร แต่ต้องระวังการเคลื่อนตัว
ความเป็นธรรมชาติ เนียน เป็นธรรมชาติ เป๊ะ มีโครงชัดเจน
ความเสี่ยง บวมหรือฟิลเลอร์เคลื่อนตำแหน่งได้ ติดเชื้อ / แผลผ่าตัด / ซิลิโคนเบี้ยว
แก้ไขได้ไหม สลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ต้องผ่าตัดใหม่
เหมาะกับใคร คนที่อยากปรับรูปหน้าแบบไม่ผ่าตัด คนที่อยากเปลี่ยนรูปคางแบบถาวร

สรุปแบบเข้าใจง่าย

  • ฟิลเลอร์คาง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบไม่ถาวร เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น
  • เสริมคางซิลิโคน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนรูปคางระยะยาว และรับการผ่าตัดได้

ฟิลเลอร์คางช่วยอะไรได้บ้าง?

ฟิลเลอร์คางไม่ได้มีประโยชน์แค่ “ทำให้คางยาวขึ้น” เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการ ปรับสัดส่วนใบหน้าให้สมดุล เสริมกรอบหน้า และช่วยให้ลุคโดยรวมดูละมุนหรือชัดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้และทรงที่เลือก

ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • เพิ่มความยาวของคาง → เหมาะกับคนที่คางสั้น คางตัด ทำให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้น
  • ปรับสัดส่วนใบหน้า (1:1:1) → ทำให้ใบหน้าดูสมดุลระหว่างหน้าผาก กลางหน้า และช่วงล่าง
  • ทำให้หน้าดูเรียวขึ้น → โดยเฉพาะในคนที่มีรูปหน้ากลมหรือคางหายไปเวลายิ้ม
  • เสริมมิติด้านข้าง (Profile) → คางที่ชัดเจนช่วยให้มุม 45 องศาหรือ横หน้าดูมีโครงสร้าง
  • กรอบหน้าชัดขึ้น → โดยเฉพาะเมื่อลดเหนียงหรือโบท็อกซ์กรามร่วมด้วย
  • ปรับลุคให้ดูมั่นใจขึ้น → จากภาพรวมของใบหน้าที่มีรูปทรงชัดมากขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์คางจึงไม่ได้ตอบแค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังมีผลในแง่ ความมั่นใจ บุคลิกภาพ และความกลมกลืนของใบหน้า อีกด้วย

ปัญหาคางแบบไหนควรทำฟิลเลอร์?

ไม่ใช่ทุกคนที่จะจำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์คาง แต่สำหรับบางรูปคางที่ส่งผลต่อความสมดุลของใบหน้า การเติมฟิลเลอร์อาจช่วย เสริมลุคให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด

ลักษณะปัญหาคางที่พบบ่อยและเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

  • คางสั้นกว่ากรอบหน้าโดยรวม → ทำให้ใบหน้าดูสั้น ไม่สมดุลช่วงล่าง เติมฟิลเลอร์ช่วยให้ใบหน้าดูยาวขึ้น
  • คางถอย / คางตัด → ด้านข้างดูไม่มีมิติ ส่งผลให้ profile ดูไม่ชัด ฟิลเลอร์ช่วยปรับองศาให้คางยื่นเล็กน้อยและดูละมุนขึ้น
  • คางบุ๋มหรือเว้าตรงกลาง → ทำให้คางดูขาดวอลลุ่ม เติมฟิลเลอร์เพื่อให้ผิวดูเรียบและได้รูป
  • ใบหน้ากลม คางไม่ชัดเจน → เหมาะกับการฉีดเพื่อสร้างโครงสร้างให้คางดูเด่นขึ้น → ทำให้ใบหน้าดูเรียว
  • คางหายเวลายิ้ม (Chin disappears) → เมื่อยิ้มแล้วคางดูสั้นหรือหายไป → เติมเพื่อคงรูปทรงแม้ในขณะยิ้ม
  • คางเบี้ยว / ไม่สมมาตร → ใช้ฟิลเลอร์ปรับสมดุล ซ้าย-ขวา ให้ดูเท่ากันมากขึ้น

ข้อควรพิจารณา

  • คางที่สั้นมากหรือไม่มีฐานกระดูก → อาจไม่เหมาะกับฟิลเลอร์เพียงอย่างเดียว แพทย์อาจแนะนำวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ซิลิโคน
  • ผู้ที่มีคางอยู่แล้วแต่ต้องการ “เพียงปรับทรงเล็กน้อย” → ฟิลเลอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะและปลอดภัยกว่า

เทคนิคฉีดฟิลเลอร์คางให้สวย ปลอดภัย เป็นธรรมชาติ

แม้ฟิลเลอร์คางจะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้าน กายวิภาคของใบหน้า (Facial Anatomy) และเทคนิคที่แม่นยำ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ

เทคนิคหลักที่แพทย์มักใช้ในการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • Midline Injection (ฉีดกลางคาง) → เป็นจุดฉีดหลักเพื่อเสริมความยาวของคางให้ดูได้รูป ไม่เบี้ยว
  • Lateral Tapering (เกลี่ยข้างคางให้เรียว) → เพื่อให้คางไล่ทรงละมุน เข้ากับกรอบหน้า ไม่ดูแข็งหรือแหลมเกินไป
  • Layer Injection (การฉีดเป็นชั้น) → แพทย์จะเลือกฉีดทั้งชั้นลึก (subperiosteal) และชั้นผิว (superficial) เพื่อความคงตัวและรูปทรงที่กลมกลืน
  • เลือกเข็มหรือ blunt cannula ตามเคส → ลดความเสี่ยงช้ำหรือเส้นเลือดอุดตัน
  • ขึ้นรูปทรงอย่างนุ่มนวล → ใช้เทคนิคปั้นด้วยมือ หรือเครื่องมือเฉพาะเพื่อปรับทรงคางให้เข้ากับใบหน้าของแต่ละคนโดยไม่ดูแข็ง

ข้อควรรู้

  • เทคนิคที่ใช้จะต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับโครงหน้าเดิมและความต้องการของคนไข้
  • ความเชี่ยวชาญของแพทย์และความเข้าใจในกายวิภาคสำคัญมาก เพราะหากฉีดลึกหรือผิดตำแหน่ง อาจเสี่ยงต่อเส้นเลือดสำคัญบริเวณคาง

ยี่ห้อฟิลเลอร์คางแต่ละแบบ เหมาะกับใคร?

ฟิลเลอร์คางเป็นบริเวณที่ต้องใช้ฟิลเลอร์ชนิดที่ มีความคงตัวสูง สามารถขึ้นรูปและคงรูปได้ดี ดังนั้นการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์จึงมีผลต่อทั้งความสวยงามและความปลอดภัย

แม้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุด แต่การรู้ลักษณะของแต่ละยี่ห้อจะช่วยให้เราตัดสินใจร่วมได้ดีขึ้น

ฟิลเลอร์คาง: เปรียบเทียบยี่ห้อยอดนิยม

ยี่ห้อ (ผ่าน อย.) จุดเด่น เหมาะกับเคสแบบไหน
Juvederm Volux ความคงตัวสูง ปั้นทรงคางได้ดี คางตัด คางสั้น ต้องการทรงชัด
Restylane Lyft ยืดหยุ่น ปั้นง่าย คนที่ต้องการลุคละมุน ธรรมชาติ
Belotero Volume เนื้อละเอียด-ยืดหยุ่นปานกลาง คางเบี้ยว ปรับซ้าย-ขวา
Neuramis Deep / Volume ราคาย่อมเยา เห็นผลดี เคสเริ่มต้น ต้องการลองก่อน

ข้อควรรู้

  • ไม่ควรเลือกฟิลเลอร์ตาม “ราคา” เพียงอย่างเดียว → ให้ดูที่คุณสมบัติเหมาะกับรูปหน้าตนเอง และต้องเป็นยี่ห้อที่ผ่าน อย. เท่านั้น
  • ฟิลเลอร์สำหรับคางควรเป็นรุ่นที่ออกแบบสำหรับ “การขึ้นรูป” โดยเฉพาะ ไม่ใช่รุ่นที่ใช้ใต้ตาหรือริมฝีปาก

ฟิลเลอร์คางใช้กี่ cc ถึงจะสวยพอดี?

หนึ่งในคำถามที่คนอยากฉีดฟิลเลอร์คางมักสงสัยคือ “ต้องใช้กี่ cc ถึงจะเห็นผล?” คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับ รูปคางเดิม ลักษณะใบหน้า และเป้าหมายที่ต้องการ แต่โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะประเมินให้ตามหลักการด้านสัดส่วนและความปลอดภัย

ปริมาณฟิลเลอร์คางโดยประมาณ

ลักษณะเคส ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย
คางมีฐานอยู่แล้ว เติมทรงเล็กน้อย 0.5–1.0 cc
คางตัด คางถอย ต้องการเปลี่ยนชัด 1.0–2.0 cc
คางสั้นมาก หรือใบหน้ากว้าง 2.0–3.0 cc (แบ่งฉีดหลายครั้ง)

หมายเหตุ: ปริมาณที่ใช้จริงอาจแตกต่างกันไปตามดุลยพินิจของแพทย์

ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณฟิลเลอร์

  • รูปคางและใบหน้าเดิมของแต่ละคน
  • ทรงคางที่ต้องการ เช่น สายละมุนหรือคางเป๊ะ
  • ความแน่นของผิวหนังบริเวณคาง
  • ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ (บางยี่ห้อเนื้อแน่นขึ้นรูปง่าย)

ทำไมบางคนฉีดฟิลเลอร์คางแล้วไม่เห็นผล?

แม้ฟิลเลอร์คางจะเห็นผลทันทีหลังฉีด แต่บางคนกลับรู้สึกว่า “ไม่เปลี่ยนเท่าไหร่” หรือ “ไม่ชัดเท่าที่หวัง” ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งทางเทคนิคและลักษณะใบหน้าแต่ละบุคคล

สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์คางไม่เห็นผลชัดเจน

  • ปริมาณไม่เพียงพอ → บางเคสมีคางสั้นมาก แต่ใช้เพียง 0.5–1 cc ทำให้ทรงยังไม่ชัดเจน
  • คางมีไขมันเยอะ / ผิวแน่น → เนื้อบริเวณคางหนา อาจบดบังผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ที่เติมเข้าไป
  • โครงหน้าเดิมไม่สมดุล → เช่น คางสั้นร่วมกับกรามกว้างหรือคางเบี้ยว → อาจต้องปรับหลายจุดร่วมกันถึงจะเห็นผลจริง
  • เลือกฟิลเลอร์เนื้อบางเกินไป → ไม่เหมาะกับการปั้นทรงคาง ทำให้ไม่คงรูปหรือไหลได้ง่าย
  • เทคนิคฉีดไม่แม่นยำ → เช่น ฉีดชั้นผิวตื้นเกินไป หรือไม่ปั้นขึ้นทรงหลังฉีด → ส่งผลให้คางไม่เปลี่ยนรูปตามที่ตั้งใจ

ทางแก้:

  • ให้แพทย์ประเมินซ้ำว่าควรเติมเพิ่มหรือปรับเทคนิค
  • เลือกคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์คุณภาพและแพทย์มีประสบการณ์ด้านปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ

ฟิลเลอร์คางต่างจากไหมละลายหรือโบท็อกซ์ยังไง?

แม้ว่าทั้ง ฟิลเลอร์คาง, ไหมละลาย และ โบท็อกซ์กรอบหน้า จะถูกใช้เพื่อ “ปรับรูปหน้า” เช่นเดียวกัน แต่แต่ละวิธีมีหลักการทำงาน จุดประสงค์ และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบเทคนิคปรับรูปคาง

เทคนิค หลักการ จุดเด่น เหมาะกับใคร
ฟิลเลอร์คาง เติมสาร HA เพื่อเพิ่มวอลลุ่ม / ยาวคาง ปรับทรงได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น คางสั้น คางถอย ต้องการยืดคาง
ไหมละลาย ร้อยเส้นไหมใต้ผิวเพื่อดึงกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน ยกกระชับช่วงกรอบหน้าแบบไม่เติมเนื้อ ผู้ที่มีผิวหย่อน กรอบหน้าไม่ชัด
โบท็อกซ์กราม / คาง ฉีดเพื่อลดกล้ามเนื้อหรือปรับรูปกรอบหน้า หน้าเรียวลงโดยไม่เพิ่มวอลลุ่ม คนหน้ากลม กรามใหญ่

สรุปแบบเข้าใจง่าย

  • ถ้าคุณมี “คางสั้นหรืออยากปรับทรงคางให้ดูยาวขึ้น” → ฟิลเลอร์คือคำตอบ
  • ถ้าคุณ “ผิวหย่อนหรืออยากให้หน้าดูตึงขึ้น” → ไหมละลายเหมาะกว่า
  • ถ้าคุณ “กรามใหญ่หรือคางเป็นกล้ามเนื้อเยอะ” → โบท็อกซ์ช่วยลดขนาดได้

ก่อนฉีดฟิลเลอร์คางต้องเตรียมตัวยังไง?

แม้การฉีดฟิลเลอร์คางจะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น แต่การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับบริการมีส่วนช่วยลดความเสี่ยง เช่น ช้ำ บวม หรือผลลัพธ์ผิดเพี้ยนจากที่คาดหวังได้

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

  • งดยาและอาหารเสริมกลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, น้ำมันปลา, วิตามิน E, โสม ควรงดก่อนอย่างน้อย 3–7 วัน
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อป้องกันการช้ำหรือบวมง่าย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดและการฟื้นตัวของร่างกายเป็นไปตามปกติ
  • งดแต่งหน้าบริเวณคาง/ใบหน้าล่างในวันที่เข้ารับบริการ เพื่อให้แพทย์ประเมินโครงหน้าและจุดฉีดได้ชัดเจน
  • แจ้งประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัวกับแพทย์ล่วงหน้า โดยเฉพาะกลุ่มโรคเลือด, ภูมิแพ้, การใช้ยาประจำ หรือเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน

ดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คางยังไงให้อยู่ทรงนาน?

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ผลลัพธ์จะเห็นชัดทันที แต่การดูแลตัวเองใน 1–2 สัปดาห์แรกมีผลโดยตรงต่อ ความคงตัวของฟิลเลอร์ และ ความสวยของทรงคางในระยะยาว

สิ่งที่ควรทำหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ประคบเย็นเบา ๆ ช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวมและป้องกันรอยช้ำ
  • นอนหงาย ศีรษะสูง อย่างน้อย 2–3 คืนหลังฉีด เพื่อไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อน
  • ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ฟิลเลอร์ (HA) อุ้มน้ำและฟูตัวเต็มที่
  • เลือกทานอาหารอ่อน งดเคี้ยวของแข็งหรือหมากฝรั่ง ลดแรงกระแทกบริเวณคาง
  • หลีกเลี่ยงการแตะ/นวด/กดแรงที่บริเวณคาง โดยเฉพาะใน 48–72 ชั่วโมงแรก
  • งดการทำเลเซอร์ร้อน หรือซาวน่า 7 วัน เพราะความร้อนอาจส่งผลต่อโครงสร้างของฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์คางอยู่ได้นานแค่ไหน? สลายเองไหม?

ฟิลเลอร์คางที่ใช้ในคลินิกความงามส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นแบบ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ที่ สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง และไม่ถาวร

อายุการคงตัวของฟิลเลอร์คาง (โดยประมาณ)

ประเภทฟิลเลอร์ ระยะเวลาที่อยู่ได้
ฟิลเลอร์เนื้อแน่น (เช่น Volux, Lyft) 12–18 เดือน
ฟิลเลอร์ทั่วไป หรือเนื้อนิ่ม 6–12 เดือน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การดูแลหลังฉีด ระบบเผาผลาญ อายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ฟิลเลอร์ HA สลายอย่างไร?

  • สาร HA จะถูกเอนไซม์ชื่อ “Hyaluronidase” ที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ ค่อย ๆ ย่อยสลายเองตามธรรมชาติ
  • ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดออก
  • หากต้องการสลายก่อนเวลา เช่น ไม่พอใจทรง → แพทย์สามารถฉีดเอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อเร่งการสลายได้อย่างปลอดภัย

ฟิลเลอร์คางราคาเท่าไร? มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาต่างกัน?

ราคาฟิลเลอร์คางในคลินิกความงามมักเริ่มต้นตั้งแต่ 6,000 – 20,000 บาท/ซีซี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณ และความเชี่ยวชาญของแพทย์ ซึ่งราคาที่แตกต่างกันไม่ได้แปลว่าคุณภาพเท่ากันเสมอไป

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาฟิลเลอร์คาง:

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์ → ฟิลเลอร์เกรดพรีเมียม เช่น Juvederm Volux, Restylane Lyft จะมีราคาสูงกว่ายี่ห้อทั่วไป
  • ปริมาณที่ใช้ → บางคนใช้ 0.5 cc ก็พอ บางคนอาจต้องใช้ 2–3 cc → มีผลต่อราคาสุดท้าย
  • แพทย์ผู้ทำหัตถการ → แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านปรับรูปหน้ามักมีค่าบริการสูงขึ้น
  • เทคนิคที่ใช้ → คลินิกที่ใช้เทคนิคพิเศษ เช่น เทคนิค Layering หรือใช้เข็มปลายทู่ (Cannula) มักมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
  • บริการหลังทำ/รับประกัน → เช่น การนัดติดตามผล, การให้แก้ไขภายใน 14 วันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ข้อควรรู้

  • ฟิลเลอร์ราคาถูกมากผิดปกติอาจมาจาก ของปลอม / หมดอายุ / ไม่มี อย.
  • เลือกคลินิกที่แสดงกล่องและล็อตก่อนฉีดทุกครั้ง และให้ใบรับรองทุกเคส

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์คาง?

แม้ฟิลเลอร์คางจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยในภาพรวม แต่ก็มีบางกลุ่มที่ ไม่ควรรับบริการ หรือควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนตัดสินใจ

กลุ่มที่ไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์คาง

  • หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร แม้จะไม่มีรายงานอันตรายชัดเจน แต่ควรเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
  • ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid เช่น เคยมีอาการบวม แดง ลมพิษรุนแรงหลังฉีดฟิลเลอร์
  • ผู้ที่มีโรคระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ / โรคเลือดบางชนิด เช่น SLE, โรคที่เกี่ยวกับเกล็ดเลือด, มะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้า เช่น สิวอักเสบรุนแรง, ผิวหนังมีแผล → ควรรักษาหายก่อน
  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่มยับยั้งภูมิคุ้มกัน / สเตียรอยด์ต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนทุกครั้ง
  • ผู้ที่มีคางสั้นมากจนไม่มีฐานกระดูกรองรับ อาจไม่เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์เพียงอย่างเดียว → ควรประเมินโดยแพทย์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คางเจ็บไหม?

โดยทั่วไปจะมีการทายาชา หรือใช้ฟิลเลอร์ผสมยาชาอยู่แล้ว ทำให้รู้สึกเพียงเล็กน้อยคล้ายจิ้มเบา ๆ มากกว่าเจ็บชัดเจน

ฟิลเลอร์คางบวมกี่วัน?

อาจมีอาการบวมเล็กน้อย 1–3 วันแรก และจะเข้าที่ภายใน 7–14 วัน ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังฉีด

ฟิลเลอร์คางสามารถฉีดร่วมกับอะไรได้อีก?

สามารถฉีดร่วมกับโบท็อกซ์กราม, ฟิลเลอร์ข้างคาง หรือร้อยไหม เพื่อปรับรูปหน้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ผู้ชายฉีดฟิลเลอร์คางได้ไหม?

ได้ และเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในผู้ชายที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูชัด มีมิติแบบแมน ๆ

บทสรุป

ฟิลเลอร์คาง เป็นหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้า เสริมมิติ และแก้ปัญหาคางสั้น คางถอย ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเทคนิคที่เหมาะสมและการเลือกฟิลเลอร์คุณภาพ ร่วมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คุณสามารถมีคางที่ได้สัดส่วน และเข้ากับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา