คอลลาเจน (Collagen) คืออะไร? 5 ประโยชน์เด็ดเพื่อผิวใสที่คุณต้องรู้!

หากคุณเริ่มรู้สึกว่าผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ หรือมีริ้วรอยที่ดูเหนื่อยล้า คอลลาเจน (Collagen) อาจเป็นตัวช่วยที่คุณกำลังมองหาอยู่ครับ แล้วคอลลาเจนคืออะไร? วันนี้หมอจะพามารู้จักคอลลาเจนอย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภท วิธีเลือกเสริม ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน พร้อมวิธีการเสริมให้เห็นผลดีที่สุด

สารบัญ hide

คอลลาเจน คืออะไร?

คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนสำคัญที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 30% ของโปรตีนทั้งหมด มีหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง ยืดหยุ่นให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อต่างๆ คอลลาเจนเปรียบเสมือน “กาว” ที่ยึดร่างกายของเราไว้ด้วยกัน หากไม่มีคอลลาเจน ผิวจะสูญเสียความกระชับและเกิดริ้วรอยได้ง่าย

คอลลาเจนมีกี่ชนิด? แต่ละชนิดต่างกันยังไง?

ในปัจจุบันมีการค้นพบคอลลาเจนมากกว่า 28 ชนิด แต่หลักๆ ที่ใช้ด้านความงาม ได้แก่

  1. Type I: พบมากที่สุดในร่างกาย ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอย ชะลอความหย่อนคล้อย (พบในผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก)
  2. Type II: พบในกระดูกอ่อน ช่วยเรื่องข้อเข่าและข้อต่อ
  3. Type III: ทำงานร่วมกับ Type I เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง และเส้นเลือด
  4. Type IV: พบในเยื่อบุผิว เซลล์ผิวชั้นลึก
  5. Type V: พบในเส้นผม เล็บ และรก ช่วยบำรุงผิวเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง

ทำไมร่างกายเราถึงต้องการคอลลาเจน?

ในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ แต่หลังอายุ 25 ปี การผลิตคอลลาเจนจะ ลดลงปีละประมาณ 1% และลดเร็วยิ่งขึ้นหากมีปัจจัยภายนอกอย่าง แสงแดด UV มลภาวะ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึง พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการขาดคอลลาเจนจึงทำให้ผิวดูแก่ก่อนวัย มีริ้วรอย และความหย่อนคล้อยมากขึ้น

Collagen สำคัญกับผิวและร่างกายยังไง?

จากประสบการณ์ที่หมอได้ดูแลคนไข้ด้านผิวหนังและความงามมาหลายปี หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ “ผิวดูอ่อนเยาว์” และ “มีสุขภาพดีจากภายใน” คือ ระดับของคอลลาเจนในชั้นผิว นี่เองครับ

คอลลาเจนกับผิว

คอลลาเจนประมาณ 70-80% อยู่ที่ผิวชั้นกลาง (Dermis) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความหย่อนคล้อย เติมริ้วรอย และกักเก็บความชุ่มชื้น

คอลลาเจนกับระบบร่างกายอื่นๆ

  • ข้อต่อและกระดูก: ลดการเสียดสีของข้อ
  • เส้นเลือด: ป้องกันเส้นเลือดเปราะ
  • ผมและเล็บ: แข็งแรงขึ้นด้วยคอลลาเจน Type V
  • กล้ามเนื้อและอวัยวะ: ช่วยโครงสร้างร่างกายให้กระชับ

Collagen แบบต่างๆ ต่างกันยังไง?

ปัจจุบันมีวิธีเสริมคอลลาเจนหลายรูปแบบ ทั้งแบบ “ทาน”, “ฉีด”, “หยดผิว” หรือ “ทำเลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน” ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่ต่างกันไป มาดูกันทีละแบบครับ

1. คอลลาเจนแบบทาน (Collagen Supplements)

  • รูปแบบ: ผงชงดื่ม, เม็ด, เยลลี่, หรือเครื่องดื่มสำเร็จรูป
  • ชนิดที่นิยม: Hydrolyzed Collagen / Collagen Peptide / Collagen Tripeptide
  • ข้อดี: ดูดซึมง่าย โดยเฉพาะแบบไฮโดรไลซ์หรือเปปไทด์ สะดวกในการรับประทาน และไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก
  • ข้อสังเกต: เห็นผลช้ากว่าแบบฉีด (ราว 4-8 สัปดาห์) ต้องทานต่อเนื่องและในปริมาณเหมาะสม

2. คอลลาเจนแบบฉีด (Injectable Collagen)

  • รูปแบบ: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดทางหลอดเลือด (IV Drip)
    ชนิดที่ใช้: Collagen Extract หรือ Hydrolyzed Collagen
  • ข้อดี: ร่างกายดูดซึมได้รวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะสั้น
  • ข้อสังเกต: ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นาน ต้องฉีดซ้ำทุก 2–4 สัปดาห์ ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม: IV Drip โปรแกรมวิตามินผิวที่ช่วยบำรุงลึกถึงระดับเซลล์

3. กระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน

บางคนอาจไม่อยากทานหรือฉีดคอลลาเจนโดยตรง ก็สามารถเลือกทำหัตถการที่กระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนเองได้ครับ เช่น

  • Ulthera Prime และ Ultraformer III – ยกกระชับผิวด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ลงลึกถึงชั้น SMAS
  • Oligio – คลื่น RF ความถี่สูงที่ช่วยกระชับผิวและฟื้นฟูโครงสร้างคอลลาเจน
  • Sylfirm X Plus – คลื่น RF แบบเฉพาะจุด ช่วยทั้งรูขุมขน รอยแดง และการกระตุ้นคอลลาเจนลึก

ข้อดี:

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
  • ให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ยั่งยืน

เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวกระชับโดยไม่ต้องฉีด

คอลลาเจนจากปลา VS วัว แบบไหนดีกว่า?

  • Marine Collagen (ปลา): โมเลกุลเล็ก ดูดซึมไว เหมาะดูแลผิว
  • Bovine Collagen (วัว): Type I และ III สูง ราคาเข้าถึงง่ายกว่า

ปัจจุบันนิยมใช้คอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการ Hydrolyzed เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะมาจากแหล่งไหน

ใครบ้างที่ควรเริ่มเสริมคอลลาเจน?

  • อายุ 25 ปีขึ้นไปที่ผิวเริ่มเสื่อม
  • ผิวแห้ง รูขุมขนกว้าง หมองคล้ำจากมลภาวะ
  • ปัญหาข้อเข่า กระดูกบางหรือเสื่อม
  • คนพักผ่อนน้อย เครียด หรือสูบบุหรี่
  • หลังการลดน้ำหนักมากๆ เพื่อกระชับผิว

คอลลาเจนช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

  • ลดริ้วรอย ผิวกระชับอ่อนเยาว์
  • เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวฟู รูขุมขนเล็กลง
  • ลดปัญหาผมและเล็บเปราะหักง่าย
  • เสริมสร้างกระดูกและข้อแข็งแรง
  • เสริมภูมิคุ้มกัน สมานแผล ลดการอักเสบในร่างกาย

เทคโนโลยีกระตุ้นคอลลาเจนจากภายในมีอะไรบ้าง?

  • Ulthera Prime: คลื่นอัลตราซาวด์แบบเห็นผลไว มีระบบมองชั้นผิวขณะทำ
  • Ultraformer III: ครอบคลุมทั้งหน้าและตัว ยกกระชับ เหมาะกับปัญหาลึกๆ
  • Oligio: RF เจ็บน้อย เห็นผลเร็ว
  • Sylfirm X Plus: RF แบบ Dual Wave ลดรอยแดง ฝ้า กระ กระตุ้นผิวกระจ่างใส

หัตถการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกให้เหมาะกับ ปัญหาผิว, อายุ, และ เป้าหมายผลลัพธ์ ของแต่ละคน หมอแนะนำให้เริ่มจากการตรวจวิเคราะห์สภาพผิวอย่างละเอียดก่อน

วิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลดี

หลายคนเริ่มต้นทานคอลลาเจนด้วยความหวังว่าจะช่วยให้ผิวสวย หน้าใส ลดริ้วรอย แต่ถ้าทานผิดวิธี ก็อาจไม่เห็นผลเท่าที่ควรครับ หมอจะขอแนะนำเทคนิคที่ถูกต้องในการทานคอลลาเจนให้ “ได้ผล” อย่างแท้จริงครับ:

ควรกินคอลลาเจนตอนไหนดีที่สุด?

  • ตอนท้องว่าง เป็นช่วงที่ร่างกายดูดซึมได้ดี โดยเฉพาะช่วงเช้าก่อนอาหาร หรือก่อนนอน
  • หากทานตอนที่มีอาหารเยอะในกระเพาะ อาจลดประสิทธิภาพการดูดซึม

ควรกินร่วมกับอะไรเพื่อให้ดูดซึมดี?

วิตามิน C

  • เป็นตัวช่วยสำคัญที่จำเป็นต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในร่างกาย
  • แนะนำให้ทานคอลลาเจนควบคู่กับวิตามิน C หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน C ผสมอยู่แล้ว

สารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยเสริมการทำงาน

  • Zinc (สังกะสี): ช่วยในการสมานแผลและการฟื้นฟูผิว
  • Biotin: เสริมความแข็งแรงให้เส้นผมและเล็บ
  • กรดอะมิโน เช่น Glycine, Proline, Lysine: เป็นโครงสร้างพื้นฐานของคอลลาเจน

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

  • คอลลาเจนแบบ Hydrolyzed หรือ Peptide ควรทานวันละ 2,500–10,000 มิลลิกรัม (mg) ขึ้นอยู่กับสูตรและวัตถุประสงค์
  • ทานมากเกินไปอาจไม่เกิดประโยชน์เพิ่มเติม และบางรายอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ท้องอืด

พฤติกรรมที่ลดประสิทธิภาพการสร้างคอลลาเจน

  • สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
  • ทานน้ำตาลหรือแป้งขัดขาวในปริมาณสูง
  • นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ไม่ป้องกันผิวจากแสงแดด

ถ้าคุณจะลงทุนทานคอลลาเจน ก็ควรปรับพฤติกรรมร่วมด้วยนะครับ เพื่อให้เห็นผลได้ชัดเจนจริงๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็ว และแน่ใจว่าร่างกายได้รับคอลลาเจนแน่นอน

จริงไหม? ทานคอลลาเจนแล้วสิวขึ้น

บางคนเกิดสิวจากผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลหรือสารสังเคราะห์ ควรเลือกสูตรไม่มีน้ำตาล หากผิวแพ้ง่ายแนะนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น Oligio, Sylfirm X Plus, IV Drip แทน

ทำไมบางคนทานคอลลาเจนแล้วสิวขึ้น?

  1. ส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ บางสูตรมีน้ำตาลสูง หรือผสมสารสังเคราะห์รสหวาน เช่น ซูคราโลส น้ำตาลสามารถกระตุ้นการอักเสบ และทำให้เกิดสิวในคนที่ผิวมันหรือผิวแพ้ง่าย
  2. การล้างสารพิษ (Detox Reaction) ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรกของการเริ่มทานคอลลาเจน ร่างกายอาจมีการขับของเสียหรือสารตกค้างออกทางผิวหนัง ซึ่งอาจแสดงออกเป็นสิว อาการนี้มักเกิดชั่วคราว และจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้
  3. ระบบลำไส้ไม่ดี ดูดซึมไม่สมบูรณ์ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้หรือการย่อยอาจมีอาการท้องอืด หรือผื่นแพ้ร่วมด้วย ส่งผลให้การดูดซึมคอลลาเจนไม่ดี และเกิดการสะสมของสารที่กระตุ้นการอักเสบในผิว

วิธีป้องกันและรับมือ

  • เลือกผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ไม่มีน้ำตาล หรือ ไม่มีสารปรุงแต่งรส
  • หากเคยแพ้อาหารทะเลหรือเคยมีสิวอักเสบ ควรเริ่มด้วยปริมาณน้อย และปรึกษาแพทย์ก่อน
  • ควบคู่กับการดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เต็มที่

ทานคอลลาเจนนานเกินไปเป็นอันตรายไหม?

โดยทั่วไปปลอดภัยเมื่อไม่เกินวันละ 10,000 mg ควรทานเป็นคอร์ส 2–3 เดือน แล้วพัก 1 เดือนเพื่อความปลอดภัย

ทานคอลลาเจนมากเกินไปมีผลเสียไหม?

อาการที่อาจพบในบางราย

  • ท้องอืด คลื่นไส้ โดยเฉพาะหากทานตอนท้องไม่ว่าง หรือปริมาณมากเกินไป
  • สิวขึ้น / ผิวมันมากขึ้น (หากผลิตภัณฑ์มีน้ำตาลหรือสารแต่งรส)
  • การทำงานของตับและไตหนักขึ้น หากเป็นคนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบขับของเสีย

ควรหยุดพักการทานคอลลาเจนบ้างไหม?

โดยทั่วไป ควรเว้นระยะการทานทุก 2–3 เดือน เพื่อให้ร่างกายได้พัก หรือบางคนอาจเลือกทานเป็น “คอร์ส 3 เดือน เว้น 1 เดือน” ช่วงที่เว้น สามารถดูแลผิวด้วยวิธีอื่น เช่น IV Drip หรือ Skin Quality เพื่อบำรุงลึกจากภายใน

สำหรับคนที่ไม่ควรทานต่อเนื่อง

  • ผู้ที่มีโรคตับ ไต หรือระบบทางเดินอาหารไม่แข็งแรง
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ)
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล (โดยเฉพาะคอลลาเจนจากปลา)

ทานคอลลาเจนแล้วต้องกินตลอดไหม?

ไม่จำเป็นต้องทานต่อเนื่องตลอดชีวิต หากดูแลผิวดี ร่วมกับ IV Drip หรือหัตถการกระตุ้นคอลลาเจนจากภายในก็เพียงพอ

ทานคอลลาเจนแบบเป็นคอร์ส ดีที่สุด

เพื่อให้ได้ผลดีต่อเนื่องโดยไม่ต้องทานตลอดเวลา หมอแนะนำรูปแบบนี้ครับ

  1. ทานเป็น คอร์ส 2–3 เดือน แล้วเว้น 1 เดือน ให้ร่างกายปรับสมดุล
  2. ระหว่างเว้น สามารถเน้นการบำรุงผิวจากภายนอกหรือทำหัตถการเสริมได้
  3. ถ้าเริ่มมีอาการผิวแห้ง ผิวโทรม หรือพักผ่อนน้อยในช่วงใด ค่อยกลับมาเสริมอีกครั้ง

ถ้าหยุดกินแล้วผิวจะกลับมาแย่เหมือนเดิมไหม?

  • ผิวจะไม่แย่ลงทันทีครับ แต่เมื่อไม่มีคอลลาเจนเสริม ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะการเสื่อมตามธรรมชาติ
  • หากยังพักผ่อนไม่พอ ดื่มน้ำน้อย หรือเจอแสงแดดบ่อย ผิวอาจค่อยๆ เสื่อมเร็วขึ้นได้

ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทานอาหารเสริมเป็นประจำ หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยระยะยาว หมอแนะนำ IV Drip, Ulthera Prime, Ultraformer III, Oligio, Biostimulator

คอลลาเจนปลอดภัยไหม? มีผลข้างเคียงหรือไม่?

โดยทั่วไปปลอดภัย แต่ควรหลีกเลี่ยงหากแพ้อาหารทะเล หรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับตับและไต แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

ผลข้างเคียงที่อาจพบ (พบไม่บ่อย)

  • อาการทางเดินอาหาร: ท้องอืด คลื่นไส้ แน่นท้อง มักเกิดจากการทานในขนาดมากเกินไป หรือทานขณะท้องอิ่ม
  • สิวขึ้น: หากคอลลาเจนมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง หรือผงปรุงแต่งรส ร่างกายบางรายมีการกระตุ้นฮอร์โมน หรือขับของเสียผ่านผิวชั่วคราว
  • ภาวะแพ้อาหาร: โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ ปลา, กุ้ง, หรืออาหารทะเล อาจแพ้คอลลาเจนจากแหล่งเหล่านี้ได้ อาการอาจรวมถึง ผื่นแดง คัน แน่นหน้าอก หรือหายใจลำบาก (กรณีรุนแรง)

หากมีอาการข้างต้น ควรหยุดทานทันทีและปรึกษาแพทย์ครับ

วิธีลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

  • เลือก คอลลาเจนที่มีมาตรฐาน อย. และแหล่งผลิตชัดเจน
  • หลีกเลี่ยงสูตรที่มี น้ำตาลเทียม สารกันบูด หรือกลิ่นสังเคราะห์ มากเกินไป
  • เริ่มจากปริมาณน้อยก่อนในสัปดาห์แรก เพื่อดูปฏิกิริยาร่างกาย

ถ้าคุณมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต, โรคตับ, หรือมีภาวะภูมิแพ้รุนแรง หมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสริมคอลลาเจนทุกชนิด และหากกังวลเรื่องความปลอดภัยในระยะยาว อาจเลือกดูแลผิวด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่ไม่มีการรับสารเข้าสู่ร่างกาย เช่น ฟิลเลอร์, โบท็อกซ์, Ulthera Prime, Ultraformer III, Oligio, Sylfirm X Plus, IV Drip

เห็นผลเมื่อไร? ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?

  • แบบทาน: 4–8 สัปดาห์
  • แบบฉีด: 1–2 สัปดาห์
  • เทคโนโลยีทางการแพทย์: 1–3 เดือน เห็นผลยาวนานกว่า

หมอแนะนำ

  • หากคุณต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว ควรเลือกใช้หลายวิธีควบคู่กันอย่างเหมาะสม
    เช่น: ทานคอลลาเจน + IV Drip + หัตถการกระตุ้นผิว
  • อย่าคาดหวังผลแบบ “ทันใจ” เพราะผิวต้องมีเวลาในการสร้างเซลล์ใหม่

ผลลัพธ์ของ Collagen อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • แบบทาน: 1–2 เดือนหลังหยุด
  • แบบฉีด: 2–4 สัปดาห์
  • เทคโนโลยีทางการแพทย์: 6–12 เดือน (ขึ้นกับการดูแลหลังทำ)

เคล็ดลับยืดอายุผลลัพธ์

  • ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกวัน
  • ทานอาหารที่ดีต่อผิว เช่น ปลา ถั่ว และผักผลไม้
  • ทำ maintenance treatment เช่น Skin Quality หรือ IV Drip ทุก 1–2 เดือน

สรุป

คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง การเสริมคอลลาเจนทั้งแบบทาน ฉีด หรือกระตุ้นด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลผิวจากภายในอย่างยั่งยืน โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับรอง และเหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเห็นผลจริงครับ

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา