หากคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวให้แน่น กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดฟิลเลอร์หนักๆ Juvelook อาจเป็นคำตอบที่น่าสนใจ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจากเกาหลีที่ผสานระหว่าง Hyaluronic Acid และ PDLLA เพื่อช่วยเติมเต็มผิวและกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Juvelook ดีไหม คืออะไร เหมาะกับใคร ช่วยอะไรได้บ้าง ราคาเท่าไหร่ และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด
Juvelook คืออะไร?
Juvelook คือสารเติมเต็มผิวในกลุ่ม Hybrid Filler รุ่นใหม่จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวอย่างล้ำลึก โดยทำงานร่วมกันระหว่าง 2 สารสำคัญคือ
- PDLLA (Poly-D,L-lactic acid): มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
- Non-crosslinked Hyaluronic Acid (HA): ให้ความชุ่มชื้นและเติมเต็มผิวในระยะสั้น
จุดเด่นของ Juvelook คือ ไม่ใช่ฟิลเลอร์ที่เน้นการปรับรูปหน้า แต่เป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อ เสริมสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวแน่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
กลไกการทำงานของ Juvelook
หลังจากฉีดเข้าสู่ชั้นผิว
- HA จะช่วยเติมเต็มและให้ความชุ่มชื้นทันที
- PDLLA จะค่อยๆ สลายตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวต่อเนื่องนานถึง 6–12 เดือน
ทำให้ผิวแน่นขึ้นจากโครงสร้างภายใน มีความยืดหยุ่นดีขึ้น รูขุมขนกระชับ และริ้วรอยจางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ลักษณะของ Juvelook ที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป
- เนื้อฟิลเลอร์มีความ บางเบา กระจายตัวได้ดี
- ไม่เป็นก้อน ไม่ฟู ไม่โป๊ะ
- ไม่ใช้การ Cross-link HA ทำให้สลายง่ายและมีความปลอดภัยสูง
- เหมาะสำหรับ “ฉีดตื้น” หรือ “ฉีดบริเวณที่ผิวบาง” เช่น ใต้ตา ขมับ ร่องแก้ม หรือหลุมสิว
Juvelook ผ่านการรับรองหรือไม่?
Juvelook ได้รับการรับรองจาก KFDA (Korea Food and Drug Administration) ประเทศเกาหลีใต้ มีการศึกษาทางคลินิกในผู้ใช้จริงที่แสดงผลลัพธ์ชัดเจน ทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
งานวิจัย: The Application of PDLLA-HA Hybrid for Dermal Biostimulation. และ Journal of Cosmetic Dermatology 2024
Juvelook เหมาะกับใคร?
แม้ว่า Juvelook จะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูผิว แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน การเลือกใช้ควรพิจารณาจากสภาพผิว ปัญหาเฉพาะจุด และเป้าหมายในการปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะผิวหรือปัญหาดังนี้
- ผิวบาง ขาดคอลลาเจน: เหมาะกับคนที่เริ่มมีปัญหาเนื้อผิวบางลงจากอายุ หรือใช้ยาทาบางชนิดมานาน
- ริ้วรอยตื้น รูขุมขนกว้าง: Juvelook ไม่ได้เติมเต็มแบบฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ช่วยให้ผิวตึงแน่นขึ้นจากภายใน
- ผิวขาดน้ำ ขาดความยืดหยุ่น: โดยเฉพาะผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ นอนดึก พักผ่อนน้อย
- เคยฉีดฟิลเลอร์แล้วผิวไม่เรียบ: Juvelook ช่วยให้ผิวดูเนียนเป็นธรรมชาติขึ้น ไม่เน้นปั้น ไม่โป๊ะ
- หลุมสิวตื้นๆ หรือรอยแผลเล็ก: ใช้เป็นทางเลือกในการฟื้นฟูหลุมสิวได้ดีในระดับตื้นถึงกลาง
- ผิวเริ่มเสื่อมตามวัย แต่ยังไม่ต้องการหัตถการหนัก: เช่น HIFU, RF, หรือการผ่าตัด (Ulthera Prime, Ultraformer III, Oligio, Sylfirm X Plus)
กลุ่มอายุที่เหมาะสมที่สุด
| ช่วงอายุ |
ความเหมาะสม |
เหตุผล |
| 20-30 ปี |
✅ |
ป้องกันการเสื่อมของผิวตั้งแต่เนิ่นๆ เสริมความแน่นของผิวโดยไม่ดูบวม |
| 30-45 ปี |
✅✅ |
เห็นผลชัดที่สุด เพราะเป็นช่วงที่เริ่มสูญเสียคอลลาเจน แต่ยังฟื้นฟูได้ดี |
| 45 ปีขึ้นไป |
✅ (ในบางกรณี) |
ใช้ร่วมกับเทคโนโลยียกกระชับหรือฟิลเลอร์อื่นเพื่อเสริมผลลัพธ์ |
เหมาะกับผู้ชายไหม?
เหมาะโดยเฉพาะผู้ชายที่
- ต้องการลุคที่ดูสุขภาพดีขึ้น แต่ไม่อยากให้ดูเหมือนทำหน้า
- มีผิวหน้าหยาบกร้าน ร่องใต้ตาลึก แต่ไม่อยากเสริมจนดูเปลี่ยนไปมาก
- มีริ้วรอยเล็กหรือปัญหาผิวจากแสงแดด และการใช้ชีวิตกลางแจ้ง
ใคร “ไม่เหมาะ” กับ Juvelook?
- ผู้ที่ต้องการเติมเต็มโครงหน้าแบบชัดเจน เช่น คาง หน้าผาก กรอบหน้า → ควรใช้ฟิลเลอร์ HA แบบ crosslinked
- ผู้ที่มีภาวะอักเสบเฉียบพลัน, ผิวติดเชื้อ หรือแพ้ง่ายรุนแรง → ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์อย่างละเอียดก่อน
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร → ยังไม่มีข้อมูลรองรับความปลอดภัยอย่างเพียงพอ
ต่อไป
Juvelook ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
Juvelook ไม่ใช่แค่ฟิลเลอร์ที่ใช้เติมเต็มผิว แต่เป็นนวัตกรรมด้านการฟื้นฟูผิวแบบ Biostimulator ที่มีจุดเด่นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้ดูแน่น เรียบ และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
Juvelook ให้ผลลัพธ์เด่นใน 5 ด้านหลัก ได้แก่
- กระตุ้นคอลลาเจนในผิว PDLLA ใน Juvelook มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและแน่นกระชับขึ้น ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่ไม่กระตุ้นกระบวนการนี้
- ลดเลือนริ้วรอยเล็ก เหมาะกับริ้วรอยบริเวณใต้ตา หางตา หน้าผาก และร่องเล็กๆ ที่ไม่ลึกมาก โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกกระตุ้นในช่วง 1-3 เดือนหลังฉีด
- เติมเต็มผิวที่ไม่เรียบ หลุมสิวตื้น Juvelook ช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีหลุมสิวตื้น หรือผิวไม่เรียบเนียนจากรอยแผลเล็กๆ
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วย HA ชนิด non-crosslinked ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี ลดความแห้งกร้าน เหมาะกับผู้ที่นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือทำงานในห้องแอร์เป็นประจำ
- ปรับ Texture ผิวโดยรวม ผลลัพธ์เด่นอีกอย่างของ Juvelook คือ “ความละเอียดของผิว” ที่ดีขึ้น รูขุมขนดูเล็กลง ผิวดูเรียบลื่น มีความยืดหยุ่นและดูมีชีวิตชีวากว่าเดิม
จุดที่นิยมฉีด Juvelook ได้แก่
- ใต้ตา (ใต้ตาคล้ำหรือเป็นร่อง)
- ขมับตอบ
- ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
- หน้าผาก (ร่องตื้นหรือผิวแห้ง)
- รอยหลุมสิวบริเวณแก้ม
Juvelook ไม่เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อปั้นโครงหน้า เช่น กราม คาง จมูก หรือโหนกแก้ม ซึ่งเป็นบริเวณที่ต้องใช้ฟิลเลอร์แบบโครงสร้างแทน
Juvelook ต่างจากเทคนิคอื่นยังไง?
หลายคนอาจสงสัยว่า Juvelook ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป หรือ Skinbooster ที่เคยได้ยินอย่างไรบ้าง เพราะชื่ออาจดูคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้ว “กลไกการทำงาน” และ “ผลลัพธ์” ของแต่ละเทคนิคแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เปรียบเทียบเบื้องต้น: Juvelook vs เทคนิคอื่นๆ
| เทคนิค |
วัตถุประสงค์หลัก |
กลไกการทำงาน |
ระยะเวลาผลลัพธ์ |
จุดเด่น |
| Juvelook |
ฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน |
PDLLA + HA |
เริ่มเห็นผลใน 4-6 สัปดาห์ อยู่ได้ 6-12 เดือน |
เติมเต็ม+กระตุ้นคอลลาเจนในตัวเดียว |
| ฟิลเลอร์ HA |
ปั้นรูปหน้า เติมร่องลึก |
เติมเต็มด้วย HA แบบ cross-linked |
อยู่ได้ 6-18 เดือน |
เห็นผลทันที เน้นโครงหน้า |
| Sculptra |
กระตุ้นคอลลาเจนอย่างเดียว |
PLLA บริสุทธิ์ |
เห็นผลใน 6-8 สัปดาห์ อยู่ได้ 2 ปี |
กระตุ้นคอลลาเจนล้วน ไม่เติมเต็ม |
| Rejuran |
ฟื้นฟู DNA ผิว |
Polynucleotide (PN) จาก DNA ปลาแซลมอน |
อยู่ได้ 4-6 เดือน |
เน้นผิวแข็งแรง ช่วยลดการอักเสบ |
| Skinvive |
เพิ่มความฉ่ำวาว เนียนใส |
Modified HA แบบฉีดตื้นเฉพาะจุด |
6 เดือน |
ให้ลุคฉ่ำวาว ผิวดูโกลว์แบบ Glass Skin |
| Skin Booster (HA) |
เพิ่มความชุ่มชื้น |
Non-crosslinked HA |
2-3 เดือน |
เติมน้ำให้ผิวล้วนๆ ไม่กระตุ้นคอลลาเจน |
จากตารางจะเห็นได้ว่า Juvelook เป็นตัวเลือกตรงกลาง ระหว่าง “ฟิลเลอร์แบบปั้นรูปหน้า” กับ “Skinbooster ที่เติมน้ำผิว” เพราะให้ได้ทั้งผลลัพธ์ที่ดูทันทีจาก HA และการกระตุ้นคอลลาเจนที่ค่อยเป็นค่อยไปจาก PDLLA
บทความแนะนำ: “เปรียบเทียบ Juvelook vs Sculptra vs Rejuran vs Skinvive เลือกอะไรดี? 2025”
Juvelook ดีไหม?
ถ้าคุณต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นขึ้น ดูเด็กลงแบบไม่โป๊ะ ต้องการผลระยะยาวโดยไม่ต้องฉีดบ่อย หรือเคยฉีดฟิลเลอร์แล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ Juvelook อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ
จากมุมมองทางการแพทย์ – ทำไมจึงแนะนำ Juvelook?
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ – Juvelook ไม่เปลี่ยนรูปหน้า ไม่บวม ไม่โป๊ะ จึงเหมาะกับคนที่กลัวการฉีดฟิลเลอร์แบบดั้งเดิม
- กระตุ้นคอลลาเจนได้จริง – ต่างจาก HA ธรรมดาที่แค่เติมเต็ม Juvelook ช่วยให้ผิวแน่นขึ้นในระยะยาว
- ปลอดภัย และไม่เกิดการสะสม – PDLLA ใน Juvelook สามารถย่อยสลายได้หมด ไม่มีการจับตัวเป็นก้อนหรือพังผืด
งานวิจัยจากวารสาร Journal of Cosmetic Dermatology พบว่า Juvelook มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวระดับ dermis อย่างต่อเนื่อง
“PDLLA ใน Juvelook ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของคอลลาเจนถึง 32% ภายใน 12 สัปดาห์ โดยไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรง”
— Kim HJ, et al. (2022)
Juvelook มีข้อเสียไหม?
แม้ว่า Juvelook จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว แต่เช่นเดียวกับหัตถการความงามอื่นๆ ไม่มีวิธีใดที่ “ไม่มีข้อจำกัดเลย” ดังนั้นการเข้าใจถึงข้อเสียหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้หลังฉีด Juvelook บางราย (ชั่วคราว)
- รอยบวม หรือแดงเล็กน้อย บริเวณจุดที่ฉีด เกิดจากการฉีดตื้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และมักหายภายใน 1-3 วัน
- อาการเขียวช้ำเล็กน้อย หากเส้นเลือดฝอยถูกกระทบขณะฉีด
- รู้สึกตึงผิว หรือ “แน่นๆ” ในช่วง 2-3 วันแรก เป็นผลจากการกระตุ้นผิวและการกระจายตัวของสาร PDLLA
อาการทั้งหมดนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อันตราย และจะค่อยๆ หายไปเอง โดยไม่ต้องพักฟื้น
ข้อจำกัดของ Juvelook
- ไม่เหมาะสำหรับการปั้นโครงหน้า เช่น การเพิ่มคาง จมูก หรือขมับตอบมากๆ เนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์เบา ไม่สามารถสร้างโครงสร้างชัดเจนได้เหมือน HA crosslinked
- ผลลัพธ์ไม่ได้เห็นทันทีทั้งหมด ต้องใช้เวลาประมาณ 1–3 เดือนเพื่อให้ PDLLA กระตุ้นคอลลาเจนอย่างเต็มที่ ผู้ที่ต้องการผลด่วนอาจไม่เหมาะ
- ต้องฉีดต่อเนื่องเป็นคอร์ส โดยเฉพาะหากต้องการฟื้นฟูผิวในระดับลึก เช่น หลุมสิวหรือริ้วรอยสะสม
ไม่เหมาะในกรณีใดบ้าง?
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร HA หรือ PLA แม้จะพบได้น้อยมาก แต่ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับการรักษา
- ผู้ที่มีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือผิวหนังเป็นโรคเฉพาะที่บริเวณจะฉีด
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ยังไม่มีการศึกษายืนยันความปลอดภัยในกลุ่มนี้
Juvelook ถือว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีฟื้นฟูผิวที่มีความปลอดภัยสูงมาก และผลข้างเคียงที่พบมักอยู่ในระดับ “เล็กน้อยและชั่วคราว” เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการฉีดตื้นและเข้าใจโครงสร้างผิวอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
ขั้นตอนการฉีด Juvelook เป็นยังไง?
ขั้นตอนก่อนการฉีด Juvelook
- ปรึกษาแพทย์วิเคราะห์ผิว: ตรวจสภาพผิว จุดปัญหา และประเมินความเหมาะสมกับ Juvelook
- วางแผนตำแหน่งฉีด: แพทย์จะกำหนดจุดที่จะฉีดให้ตรงกับปัญหา เช่น ใต้ตา แก้ม หรือร่องเล็กๆ
- ทำความสะอาดใบหน้า: เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- ทายาชาเฉพาะที่ (ถ้าจำเป็น): โดยเฉพาะในบริเวณที่ผิวบาง เช่น ใต้ตา หรือร่องแก้ม
ขั้นตอนขณะฉีด
- แพทย์จะใช้ “เข็มหรือเข็มปลายทู่ (Cannula)” ตามบริเวณที่กำหนด
- ฉีดในชั้นผิวตื้น (superficial dermis) หรือกลาง (mid dermis) ขึ้นอยู่กับปัญหาและบริเวณ
- เนื้อ Juvelook มีลักษณะบางเบา แพทย์จะฉีดแบบ “กระจาย” ไม่ฉีดก้อนใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดลำไย
- โดยทั่วไปใช้เวลา ประมาณ 20–40 นาที ขึ้นอยู่กับพื้นที่ฉีด
ใช้เวลากี่นาที? ต้องพักฟื้นไหม?
- เวลาในการทำ: ประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง (รวมการเตรียมผิวและให้คำปรึกษา)
- ไม่ต้องพักฟื้น: สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
- อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งจะหายภายใน 1–3 วัน
ความสำคัญของเทคนิคการฉีด
เทคนิคการฉีด Juvelook จะต่างจากการฉีดฟิลเลอร์แบบเติมปริมาตร เนื่องจาก:
- ต้องฉีดในระดับตื้นอย่างระมัดระวัง
- เน้นการกระจายตัวสม่ำเสมอมากกว่าการปั้น
- หากฉีดลึกเกินไปหรือปริมาณไม่เหมาะสม อาจเห็นผลช้า หรือไม่เต็มที่
หลังฉีด Juvelook ดูแลยังไง?
- งดแต่งหน้าและล้างหน้าแรงๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบหรือติดเชื้อที่บริเวณรูเข็ม
- หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดใน 48 ชั่วโมงแรก เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ไดร์เป่าผมร้อน หรือการอยู่กลางแดดจัด ความร้อนอาจเร่งการสลายตัวของสารและทำให้เกิดอาการบวมแดงนานขึ้น
- งดนวดหน้า กดหน้า หรือทำหัตถการอื่นบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 5–7 วัน เพื่อไม่ให้ Juvelook เคลื่อนจากตำแหน่งที่ต้องการ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการออกกำลังกายหนัก ภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดความเสี่ยงการบวมช้ำ
- ใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงสารผลัดผิว เช่น Retinol, AHA, BHA หรือ Vitamin C เข้มข้น ควรเว้น 3–5 วัน ให้เน้นมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยสมานผิว และครีมกันแดดเท่านั้น
- ควรกลับมาพบแพทย์ภายใน 2-4 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อติดตามผล
ตัวช่วยฟื้นฟูผิวหลังฉีด
- มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบา ที่มีส่วนผสมของ Ceramide หรือ Panthenol
- ครีมลดรอยแดงจากแพทย์ เช่น Bepanthen หรือครีมผิวแพ้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการขัดหรือใช้คลีนซิ่งแรงๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ฉีด
พักฟื้นนานไหม?
- โดยทั่วไปไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- หากมีรอยแดงหรือบวม มักหายภายใน 1–3 วัน
- อาจมีตุ่มเล็กๆ ชั่วคราวในบางเคส ซึ่งจะยุบลงเอง
Juvelook ราคาเท่าไหร่?
ราคาของ Juvelook ในประเทศไทยมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ปริมาณที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก โดยทั่วไป ราคาจะอยู่ในช่วงดังนี้
- ต่อขวด (8 CC): ประมาณ 14,990
- ต่อ CC: ประมาณ 1,900 บาท
Juvelook เห็นผลเมื่อไร?
Juvelook ไม่ใช่สารที่เห็นผลทันทีเหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจาก กลไกหลักคือการ “กระตุ้นคอลลาเจน” ดังนั้นการเห็นผลจะแบ่งเป็น 2 ระยะ:
- ระยะสั้น (ภายใน 3-5 วัน): ผิวดูฟูขึ้นเล็กน้อยจาก Hyaluronic Acid ที่ให้ความชุ่มชื้นทันที
- ระยะกลางถึงยาว (3-6 สัปดาห์): คอลลาเจนใหม่เริ่มสร้าง ส่งผลให้ผิวแน่น เรียบ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ผลเต็มที่: มักใช้เวลาประมาณ 8-12 สัปดาห์ (2-3 เดือน)
ควรฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผลดีที่สุด
แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้ฉีด เป็นคอร์สอย่างน้อย 2–3 ครั้ง ห่างกันทุก 4 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง และล็อคผลลัพธ์ให้ชัดเจนขึ้น
| ครั้งที่ |
จุดเด่นของการฉีดแต่ละรอบ |
| ครั้งที่ 1 |
กระตุ้นคอลลาเจนรอบแรก ให้ผิวเริ่มฟื้นตัว |
| ครั้งที่ 2 |
เสริมผลรอบแรก ทำให้ผลลัพธ์ชัดขึ้น |
| ครั้งที่ 3 |
ล็อคผลลัพธ์ให้ยาวนาน และดูเป็นธรรมชาติ |
Juvelook อยู่ได้นานแค่ไหน?
แม้ว่า HA จะสลายไปภายใน 2-3 เดือน แต่ คอลลาเจนที่เกิดขึ้นจาก PDLLA สามารถอยู่ได้นานถึง 9–12 เดือน แล้วแต่สภาพผิวและพฤติกรรมการดูแลตนเอง บางเคสที่ดูแลผิวดี หรืออายุน้อย อาจเห็นผลคงอยู่ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องเติมซ้ำบ่อยๆ
Juvelook ของแท้ดูยังไง?
ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ Juvelook ทำให้ในตลาดเริ่มมีผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบหรือของนำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐานปรากฏขึ้น หากฉีดของปลอม อาจเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเกิดพังผืดใต้ผิวได้ ดังนั้นการตรวจสอบว่า Juvelook ที่ใช้ เป็นของแท้แน่นอน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจรับบริการ
จุดสังเกตสำคัญของ Juvelook ของแท้
- ต้องมี QR Code ตรงกล่อง กล่องของแท้จะมีสติกเกอร์พร้อม QR Code สำหรับตรวจสอบเลขล็อตสินค้าและวันหมดอายุ
- กล่องสีเงินเงา โลโก้คมชัด สีและฟอนต์ของตัวหนังสือต้องชัด ไม่มีรอยเบลอหรือพิมพ์ซ้อน
- เลขล็อตและวันหมดอายุชัดเจน อยู่ที่มุมกล่องหรือใต้กล่อง สแกนแล้วต้องตรงกับฐานข้อมูลของผู้นำเข้า
- ฉลากภาษาเกาหลี และฉลากภาษาไทย (ถ้าเป็นของนำเข้าโดยตรง) หากเป็นของนำเข้าถูกต้อง จะมีฉลากภาษาไทยแปะเพิ่มเติม
- กล่องซีลแน่น ไม่มีรอยเปิด หรือกาวปิดซ้ำ Juvelook ของแท้ต้องมาในสภาพสมบูรณ์เท่านั้น
Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Juvelook
Q: Juvelook ฉีดแล้วเห็นผลทันทีไหม?
A: ไม่ทันทีครับ Juvelook จะให้ความชุ่มชื้นทันทีจาก Hyaluronic Acid แต่ผลที่ชัดเจนคือผิวแน่นขึ้น เรียบขึ้น จะเริ่มเห็นใน 3-6 สัปดาห์ เพราะ PDLLA ต้องใช้เวลาสร้างคอลลาเจน
Q: Juvelook เหมือนฟิลเลอร์ไหม?
A: Juvelook ไม่ใช่ฟิลเลอร์แบบปั้นรูปหน้าครับ แต่เป็น Hybrid Filler ที่เน้น “ฟื้นฟูผิว” มากกว่าการสร้างปริมาตรหรือยกกระชับโครงสร้าง
Q: ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผลเต็มที่?
A: ส่วนใหญ่แนะนำ 2–3 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง และล็อคผลลัพธ์ให้อยู่นาน
Q: ฉีด Juvelook ใต้ตาได้ไหม?
A: ได้ครับ และถือว่าเป็นบริเวณที่เห็นผลชัดมาก เพราะ Juvelook มีเนื้อบางเบา ไม่เป็นก้อน ไม่ฟูโป๊ะ เหมาะกับผิวบางใต้ตา
Q: ผู้ชายฉีดได้ไหม?
A: ได้แน่นอนครับ เหมาะกับผู้ชายที่ไม่ต้องการหน้าฟู หรือเปลี่ยนรูปหน้า แต่ต้องการลุคสดใส สุขภาพผิวดีขึ้น
Q: หลังฉีดเจ็บไหม? ต้องพักฟื้นหรือเปล่า?
A: ไม่เจ็บมาก และไม่ต้องพักฟื้นครับ แพทย์มักใช้ยาชาหรือเข็มปลายทู่เพื่อลดการช้ำ บางเคสอาจมีบวมเล็กน้อย 1-2 วัน แต่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
Q: อยู่ได้นานแค่ไหน?
A: คอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นสามารถอยู่ได้ นาน 9–12 เดือน แล้วแต่พฤติกรรมการดูแลผิว อายุ และปัจจัยส่วนบุคคล
Q: Juvelook ปลอดภัยแค่ไหน?
A: ผ่านการรับรองจาก KFDA ประเทศเกาหลีใต้ และมีการศึกษาทางคลินิกยืนยันความปลอดภัย
ไม่พบการอุดตันเส้นเลือดหรือการสะสมตกค้างในร่างกาย
สรุป
Juvelook คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างลึกซึ้งโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้า ช่วยเติมเต็มริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน และปรับสภาพผิวให้เนียนกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยที่ต้องการ “ดูดีขึ้นในแบบที่ยังเป็นตัวเอง” และแม้จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคือหัวใจสำคัญของผลลัพธ์ที่มั่นใจได้อย่างแท้จริง