รอยดำจากสิวรักษายังไง? วิธีที่หมอผิวหนังแนะนำ 2025

รอยดำจากสิวเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่ทำให้หลายคนกังวล แม้สิวจะหายแล้วแต่ร่องรอยที่เหลืออยู่กลับทำให้ผิวดูไม่สม่ำเสมอและขาดความมั่นใจ รอยเหล่านี้เกิดจากการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังการอักเสบ และอาจใช้เวลานานกว่าจะจางลง หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ปัจจุบันมีทั้งวิธีดูแลด้วยสกินแคร์ วิตามิน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถช่วยให้รอยดำจางไวขึ้นได้ การเข้าใจสาเหตุและเลือกแนวทางที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผิวกลับมาเรียบใสอย่างมั่นใจ

สารบัญ hide

รอยดำจากสิวคืออะไร ต่างจากจุดด่างดำยังไง?

รอยดำจากสิว (Post-inflammatory Hyperpigmentation: PIH) คือรอยสีเข้มที่หลงเหลือหลังสิวหรือการอักเสบหายไปแล้ว เกิดจากผิวสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นในจุดที่เคยอักเสบ ทำให้ผิวดูไม่สม่ำเสมอและหมองคล้ำ โดยมากจะเป็นสีน้ำตาลเข้มจนถึงเทา มักพบได้บ่อยในคนเอเชียที่มีผิวไวต่อการกระตุ้น

ในทางกลับกัน จุดด่างดำ (Dark Spots / Hyperpigmentation) เป็นคำกว้างที่รวมปัญหาเม็ดสีจากหลายสาเหตุ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน หรืออายุ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสิวนำมาก่อน จุดด่างดำมักเกิดกระจายหรือเป็นปื้น เช่น ฝ้า หรือกระแดด และอาจอยู่ได้นานหากไม่ได้รับการรักษา

ดังนั้น แม้รอยดำจากสิวและจุดด่างดำจะดูคล้ายกัน แต่มีสาเหตุและการรักษาที่ต่างกัน การรู้จักแยกให้ออกจะช่วยเลือกวิธีแก้ได้ถูกต้อง เช่น หากเป็นรอยดำจากสิวอาจเริ่มจากสกินแคร์และการทรีตเมนต์เฉพาะจุด แต่หากเป็นจุดด่างดำจากแดดหรือฮอร์โมน อาจต้องใช้เลเซอร์หรือเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าช่วย

รอยดำสิวหายเองได้ไหม ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?

หลายคนสงสัยว่าหากไม่ทำอะไรเลย รอยดำจากสิวจะจางเองหรือไม่ คำตอบคือ “บางครั้งใช่ แต่ไม่เสมอไป” เพราะการหายของรอยดำขึ้นอยู่กับความลึกของเม็ดสีและการดูแลผิวในชีวิตประจำวัน

  • รอยดำตื้น (Epidermal PIH): มักมีสีอ่อน น้ำตาลไม่เข้มมาก และสามารถจางเองได้ภายใน 3–6 เดือน หากป้องกันแดดและไม่เกิดการอักเสบซ้ำ
  • รอยดำลึก (Dermal PIH): มักมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงเทา และใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี หรือบางครั้งแทบไม่จางเอง จำเป็นต้องใช้วิธีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์หรือทรีตเมนต์เฉพาะ

ปัจจัยที่ทำให้รอยดำหายช้าหรือเข้มขึ้น ได้แก่

  • การโดนแสงแดดซ้ำ ๆ โดยไม่ทากันแดด
  • การแกะสิวหรือกดสิวเอง
  • การใช้สกินแคร์ที่ระคายผิว ทำให้ผิวอักเสบเพิ่ม

รอยดำเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมบางคนหายช้า?

รอยดำจากสิวเกิดจากกระบวนการอักเสบในผิว เมื่อสิวหรือแผลหาย ร่างกายจะสร้างเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติในจุดนั้น ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเทา ปัจจัยที่ทำให้เกิดได้ง่ายขึ้นคือ

  • การอักเสบจากสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบหรือสิวที่ถูกแกะเกา
  • แสงแดด รังสี UV กระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน ที่เปลี่ยนแปลง เช่น วัยรุ่นหรือช่วงตั้งครรภ์
  • พันธุกรรมและสีผิว ผิวเอเชียและผิวคล้ำมีแนวโน้มเกิดรอยดำชัดกว่า

สาเหตุที่บางคนรอยดำหายช้า เพราะเม็ดสีที่สร้างขึ้นอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ อีกทั้งพฤติกรรมที่ทำให้ผิวถูกกระตุ้นซ้ำ เช่น โดนแดดโดยไม่ป้องกัน หรือใช้สกินแคร์ที่ก่อการระคายเคือง

เช็กรอยดำตื้นหรือลึก ดูยังไง?

การแยกว่ารอยดำตื้นหรือลึกช่วยให้เลือกวิธีรักษาได้ตรงจุด สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองดังนี้

  • รอยดำตื้น (Epidermal PIH)
    • สีออกน้ำตาลอ่อนถึงกลาง
    • จางลงบ้างเมื่อทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
    • มักจางเร็วใน 3–6 เดือน
  • รอยดำลึก (Dermal PIH)
    • สีเข้ม น้ำตาลแก่ถึงเทา
    • แทบไม่เปลี่ยนแม้ดูแลผิวดี
    • มักอยู่นานเกิน 6 เดือน หรือมากกว่า 1 ปี
  • รอยแดงปนรอยดำ (PIE + PIH)
    • มีทั้งสีแดงและน้ำตาลในจุดเดียว
    • มักพบหลังสิวอักเสบใหม่
    • ต้องใช้การรักษาที่จัดการทั้งเส้นเลือดและเม็ดสีร่วมกัน

วิธีรักษารอยดำจากสิวด้วยสกินแคร์ที่หมอแนะนำ

สกินแคร์บางชนิดช่วยลดการสร้างเม็ดสีและเร่งการผลัดผิวอย่างอ่อนโยน เหมาะกับรอยดำตื้นหรือเพิ่งเกิดใหม่

  • วิตามินซี (Vitamin C): ต้านอนุมูลอิสระ ลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
  • ไนอาซินาไมด์ (Vitamin B3): ลดการส่งผ่านเม็ดสีระหว่างเซลล์ผิว ทำให้สีผิวสม่ำเสมอ
  • อาร์บูติน (Arbutin): ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ลดการก่อตัวของเม็ดสี
  • เรตินอล/เรตินัล (Retinoids): กระตุ้นการผลัดเซลล์และคอลลาเจน ทำให้รอยจางเร็วขึ้น
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) / กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA): ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อน เหมาะกับรอยตื้น
  • กันแดด (Sunscreen): ปัจจัยสำคัญที่สุด ต้องใช้ทุกวันเพื่อป้องกันเม็ดสีเข้มขึ้น

การเลือกสกินแคร์ควรพิจารณาตามสภาพผิว หากมีสิวอักเสบหรือผิวแพ้ง่าย ควรเลือกสูตรอ่อนโยนและปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเริ่มใช้

อาหารเสริม/วิตามินช่วยลดรอยดำได้ไหม?

การดูแลจากภายในมีส่วนช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้น วิตามินและสารอาหารบางชนิดมีงานวิจัยรองรับว่าช่วยลดการอักเสบและยับยั้งเม็ดสีที่มากเกินไป

  • วิตามินซี (Vitamin C): ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นคอลลาเจน และลดการสร้างเมลานิน
  • วิตามินอี (Vitamin E): ปกป้องเซลล์ผิวจากการทำลายของรังสี UV และเสริมการทำงานของวิตามินซี
  • ไนอาซินาไมด์ (Vitamin B3): ลดการส่งเม็ดสีจากเซลล์สร้างเม็ดสีไปยังผิวชั้นบน
  • สังกะสี (Zinc): ลดการอักเสบของสิว ลดโอกาสเกิดรอยดำหลังสิว
  • โพลีฟีนอล (Polyphenols): พบในชาเขียว ผักผลไม้สีเข้ม มีฤทธิ์ลดการอักเสบและความเครียดออกซิเดชัน

แม้อาหารเสริมอาจช่วยเสริมการดูแลผิว แต่ไม่สามารถแทนที่การรักษาหลัก เช่น สกินแคร์หรือทรีตเมนต์ที่คลินิกได้

วิธีธรรมชาติรักษารอยดำ: ใช้ได้จริงหรือควรเลี่ยง?

หลายคนมักเลือกใช้วิธีธรรมชาติเพื่อลดรอยดำจากสิว เพราะเข้าถึงง่ายและดูปลอดภัย แต่แต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด

  • ว่านหางจระเข้: ให้ความชุ่มชื้น ลดการอักเสบเล็กน้อย แต่ผลต่อการลดเม็ดสียังมีหลักฐานจำกัด
  • น้ำมะนาว: มีกรดธรรมชาติที่ช่วยผลัดผิว แต่มีความเป็นกรดสูง อาจทำให้ผิวระคายเคืองและไวต่อแดดมากขึ้น
  • ขมิ้น: มีสารต้านการอักเสบ แต่สีอาจติดผิว และยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าช่วยลดเม็ดสีได้จริงในคน
  • น้ำผึ้ง: ให้ความชุ่มชื้นและลดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด แต่ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อเม็ดสี
  • มันฝรั่งหรือแตงกวา: ให้ความเย็น ลดการระคายเคือง แต่ไม่มีหลักฐานว่าลดรอยดำได้

โดยรวม วิธีธรรมชาติอาจช่วยเรื่องการบรรเทาอาการ เช่น ลดการอักเสบหรือให้ความชุ่มชื้น แต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าช่วยลดรอยดำได้จริงในระดับคลินิก

ทำไมบางครั้งครีมถึงเอารอยดำไม่อยู่?

แม้ว่าครีมลดรอยดำจะมีส่วนผสมที่ช่วยยับยั้งเม็ดสี แต่หลายครั้งผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากปัจจัยต่อไปนี้

  • ความลึกของเม็ดสี: รอยดำที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermal PIH) ครีมทาภายนอกไม่สามารถเข้าถึงได้
  • ชนิดของรอย: ฝ้าและกระ หรือรอยดำเรื้อรัง มักตอบสนองต่อครีมได้น้อย
  • ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์: ครีมที่ขายทั่วไปอาจมีสารไวท์เทนนิ่งในระดับต่ำ ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนสีผิวได้ชัดเจน
  • การเลือกผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม: ผิวมัน สิวง่าย หรือผิวแพ้ง่าย อาจต้องเลือกสูตรเฉพาะ มิฉะนั้นจะเกิดการอักเสบเพิ่มและรอยดำเข้มขึ้น
  • การกระตุ้นซ้ำ: หากยังโดนแดดโดยไม่ทากันแดด หรือยังมีสิวอักเสบ รอยดำจะไม่จางลง

เลเซอร์/ทรีตเมนต์ใหม่ล่าสุดปี 2025 ที่ช่วยลดรอยดำได้ไว

เทคโนโลยีความงามในปี 2025 มีทางเลือกที่ช่วยลดรอยดำสิวได้รวดเร็วและตรงจุดมากขึ้น

  • Sylfirm X: เทคโนโลยี RF Microneedling แบบ Dual-Wave ช่วยสลายเม็ดสีจากการอักเสบ และลดเส้นเลือดร่วมที่ทำให้รอยแดงปนรอยดำ เหมาะกับรอยสิวเรื้อรัง
  • Pico Laser: ยิงพลังงานสั้นระดับพิโควินาที ทำให้เม็ดสีแตกละเอียด จางไวกว่าเลเซอร์รุ่นเก่า และลดความเสี่ยงผิวไหม้
  • Q-Switch Nd:YAG: เลเซอร์ที่ใช้มายาวนานในการจัดการเม็ดสี เหมาะกับรอยดำเข้ม แต่ผลลัพธ์อาจช้ากว่าเทคโนโลยีใหม่
  • IPL (Intense Pulsed Light): แสงความเข้มสูงที่ช่วยลดรอยดำตื้น และเหมาะกับผิวที่มีรอยแดงร่วม
  • Skin Quality / Biostimulator: ทรีตเมนต์ฉีดวิตามินและสารบำรุงผิวโดยตรง ช่วยปรับพื้นผิวให้เรียบใส และทำให้รอยดำดูจางเร็วขึ้น

เทคโนโลยีเหล่านี้ควรทำโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อปรับพลังงานและจำนวนครั้งให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน

แผนรักษารอยดำตามระดับความลึก (ตื้น/ลึก/เรื้อรัง)

การรักษารอยดำสิวควรเลือกตามความลึกของเม็ดสี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและปลอดภัย

ระดับรอยดำ ลักษณะ แนวทางดูแล
รอยดำตื้น (Epidermal PIH) สีอ่อน น้ำตาลไม่เข้ม จางลงเมื่อกันแดดสม่ำเสมอ – ใช้สกินแคร์: วิตามินซี, ไนอาซินาไมด์, อาร์บูติน

– กันแดดทุกวัน

– ผลัดผิวอ่อน ๆ เช่น AHA, BHA

รอยดำลึก (Dermal PIH) สีน้ำตาลเข้มถึงเทา จางช้าแม้ดูแลดี – Sylfirm X

– Skin Quality / Biostimulator

– ควบคู่สกินแคร์ลดเม็ดสี

รอยดำเรื้อรัง + หลุมสิว อยู่นานหลายเดือน-ปี มักมีพื้นผิวไม่เรียบ – เลเซอร์หลายชนิดร่วมกัน

– Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน

– ทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิวเป็นคอร์ส

รอยดำสิวแบบไหนควรไปพบแพทย์?

ไม่ใช่รอยดำทุกแบบที่จะต้องรักษาที่คลินิก แต่บางกรณีควรพบแพทย์เพื่อประเมินโดยตรง

  • รอยดำที่อยู่นานเกิน 6–12 เดือน โดยไม่จางลง
  • รอยดำที่มี สีเข้มผิดปกติ เช่น น้ำตาลปนเทา ดำ หรือมีหลายสีในจุดเดียว
  • รอยที่ ขอบไม่ชัด หรือรูปร่างไม่สมมาตร
  • รอยที่มีอาการร่วม เช่น คัน เจ็บ หรือมีเลือดออกง่าย
  • รอยดำที่ ครีมและสกินแคร์ไม่ช่วย หรือยิ่งทำให้ผิวระคายเคือง
  • ผู้ที่มี สิวอักเสบต่อเนื่อง จนเกิดรอยใหม่ซ้ำ ๆ

วิธีป้องกันไม่ให้รอยดำกลับมาอีก

การป้องกันสำคัญไม่แพ้การรักษา เพราะหากผิวถูกกระตุ้นซ้ำ รอยดำอาจกลับมาได้ง่าย

  • ทาครีมกันแดดทุกวัน เลือก SPF 50 ขึ้นไป และทาซ้ำทุก 2–3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • เลี่ยงแดดจัด โดยเฉพาะช่วง 10.00–15.00 น. ใช้หมวกหรือแว่นกันแดดช่วยเสริม
  • เลือกสกินแคร์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ระคายผิวหรือมีแอลกอฮอล์สูง
  • หยุดพฤติกรรมแกะสิว เพราะจะกระตุ้นการอักเสบและทำให้เกิดรอยซ้ำ
  • พักผ่อนเพียงพอและดื่มน้ำ เพื่อให้ผิวฟื้นฟูและผลัดเซลล์ตามธรรมชาติได้ดีขึ้น
  • พบแพทย์ตามนัด หากกำลังทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ต่อเนื่อง

รอยดำต่างจากรอยแดงยังไง? รักษาเหมือนกันไหม?

หลังสิวหาย หลายคนสับสนระหว่าง “รอยดำ” และ “รอยแดง” ซึ่งมีที่มาคนละแบบ

ลักษณะ รอยดำ (PIH) รอยแดง (PIE)
สาเหตุ เม็ดสีเมลานินสะสมหลังการอักเสบ เส้นเลือดฝอยขยายและคั่งเลือดหลังสิวอักเสบ
สี น้ำตาลอ่อน–เข้ม เทา แดง ชมพู ม่วง
ระยะเวลา จางช้า 3–12 เดือน ขึ้นกับความลึก มักจางใน 1–6 เดือน แต่บางรายอยู่นาน
การตอบสนอง ดีต่อสกินแคร์และเลเซอร์เม็ดสี ตอบสนองต่อเลเซอร์เส้นเลือด เช่น Sylfirm X
  • รอยดำ (PIH): เน้นการลดเม็ดสี เช่น วิตามินซี, อาร์บูติน, เรตินอล และเลเซอร์กลุ่มเม็ดสี
  • รอยแดง (PIE): เน้นการลดเส้นเลือด เช่น เลเซอร์ความยาวคลื่นเฉพาะ หรือ RF Microneedling

ค่าใช้จ่ายรักษารอยดำจากสิวปี 2025 ประมาณเท่าไร?

ราคาการรักษารอยดำสิวขึ้นอยู่กับชนิดของเทคโนโลยี ความลึกของรอย และจำนวนครั้งที่ต้องทำ โดยทั่วไปสามารถประเมินได้ดังนี้

วิธีรักษา ช่วงราคาโดยประมาณ / ครั้ง เหมาะกับรอยดำแบบไหน
ครีม / สกินแคร์ทางการแพทย์ 500 – 2,000 บาท รอยดำตื้น สิวเพิ่งหาย
IPL 2,500 – 4,500 บาท รอยดำตื้น มีรอยแดงร่วม
Q-Switch Nd:YAG 3,000 – 5,000 บาท รอยดำเข้มปานกลาง
Pico Laser 5,000 – 9,000 บาท รอยดำลึกหรือเรื้อรัง
Sylfirm X 16,000 บาทขึ้นไป รอยดำสิวเรื้อรัง ปนรอยแดง
Skin Booster / Biostimulator 8,000 – 20,000 บาท รอยดำร่วมกับผิวไม่เรียบ

หมายเหตุ: ราคาจริงขึ้นอยู่กับการประเมินโดยแพทย์และโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก

FAQ เกี่ยวกับรอยดำสิว

รอยดำสิวหายเองได้ไหม?
รอยตื้นอาจจางใน 3–6 เดือน แต่รอยลึกหรือเรื้อรังมักต้องอาศัยเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ทางการแพทย์

ทำเลเซอร์รักษารอยดำเจ็บไหม?
ส่วนใหญ่รู้สึกเพียงเหมือนเข็มเล็กจิ้มเบา ๆ อาจมีการทายาชาก่อนเพื่อเพิ่มความสบาย

ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?
ขึ้นกับชนิดเลเซอร์และความลึกของรอย ส่วนใหญ่เริ่มเห็นผลหลัง 2–3 ครั้งต่อเนื่อง

หลังทำเลเซอร์แต่งหน้าได้ไหม?
ควรเลี่ยงการแต่งหน้า 24 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าได้โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน

พักฟื้นนานไหม?
โดยทั่วไปไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยแดงเล็กน้อย 1–3 วันและค่อย ๆ จางไป

บทสรุป

การดูแลรอยดำจากสิวไม่ใช่เพียงการทาครีม แต่ต้องอาศัยการผสมผสานหลายวิธี ทั้งการป้องกันและการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้รอยจางไวและผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น

  • ป้องกันแดดเป็นหัวใจหลัก: ทากันแดด SPF 50 ขึ้นไปทุกวัน และทาซ้ำเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • ใช้สกินแคร์อย่างเหมาะสม: เลือกส่วนผสมที่ช่วยลดเม็ดสี เช่น วิตามินซี อาร์บูติน ไนอาซินาไมด์ หรือเรตินอล
  • เสริมด้วยโภชนาการและวิตามิน: วิตามินซี วิตามินอี และโพลีฟีนอลจากอาหารสดช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้ดีขึ้น
  • ทรีตเมนต์ทางการแพทย์เมื่อจำเป็น: เช่น เลเซอร์ Pico, Sylfirm X, Q-Switch หรือการทำ Skin Booster และ Biostimulator สำหรับรอยลึกหรือเรื้อรัง
  • ติดตามผลกับแพทย์: การรักษาต่อเนื่องและการประเมินสภาพผิวเป็นระยะ จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยซ้ำและปรับแผนได้ตรงจุด

หากคุณกังวลเรื่องรอยดำสิว การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ได้แนวทางที่เหมาะกับผิวของคุณที่สุด

แหล่งอ้างอิง

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา