Sculptra ยกหน้าแบบไม่ศัลย์ ปั้นหน้าเด็กเทรนด์ 2025

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โครงสร้างผิวของเราจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ผิวบางลง แก้มตอบ หน้าดูอ่อนแรงแม้จะพักผ่อนเพียงพอ Sculptra จึงกลายเป็นหัตถการยอดนิยมในคลินิกความงามยุคใหม่ ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนลึก ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ ไม่บวม ไม่ต้องศัลย์

บทความนี้จะพาคุณรู้จัก Sculptra อย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการทำงาน ราคาเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง การดูแลตัวเอง ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ว่า Sculptra เหมาะกับคุณหรือไม่

สารบัญ hide

Sculptra คืออะไร?

Sculptra คือสารเติมเต็มในกลุ่ม Biostimulator ที่มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ไม่ใช่แค่เติมเต็มผิวชั่วคราวแบบฟิลเลอร์ทั่วไป แต่เป็นการฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างเป็นธรรมชาติ

เทคโนโลยีของ Sculptra ได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น หรือมีริ้วรอยสะสม โดยผลลัพธ์จะค่อยเป็นค่อยไป เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนภายใน 2–3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการตอบสนองของแต่ละบุคคล

Sculptra ผ่านการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา และ อย. ไทย ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในคลินิกความงามทั้งในและต่างประเทศ

Sculptra ต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร?

แม้ Sculptra และฟิลเลอร์จะเป็นหัตถการฉีดที่ช่วยเพิ่มวอลุ่มให้กับผิว แต่ทั้งสองมีหลักการทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:

รายการเปรียบเทียบ Sculptra ฟิลเลอร์ (เช่น HA Filler)
ส่วนประกอบหลัก Poly-L-Lactic Acid (PLLA) Hyaluronic Acid (HA)
หลักการทำงาน กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง เติมวอลุ่มโดยตรงทันที
ผลลัพธ์เริ่มเห็นเมื่อไร 6–12 สัปดาห์ เห็นผลทันทีหลังฉีด
ความคงอยู่ของผลลัพธ์ ประมาณ 2 ปี ประมาณ 6–18 เดือน
ลักษณะผลลัพธ์ ค่อย ๆ เปลี่ยนอย่างเป็นธรรมชาติ เติมเต็มทันที บางรุ่นเน้นยกกระชับ
ตำแหน่งที่นิยมฉีด ขมับ, แก้มตอบ, กรอบหน้า ใต้ตา, คาง, ร่องแก้ม, ปาก ฯลฯ

Sculptra จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน โดยไม่เน้นความเปลี่ยนแปลงแบบทันทีหลังทำ

Sculptra เหมาะกับใคร?

Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นผลลัพธ์แบบเปลี่ยนแปลงฉับพลัน แต่ต้องการให้ผิวกลับมากระชับ เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ขึ้นในระยะยาว โดยกลุ่มที่มักได้รับคำแนะนำให้ฉีด Sculptra ได้แก่

  • ผู้ที่มีผิวเริ่มหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น
  • ผู้ที่มีแก้มตอบ ขมับลึก หรือกรอบหน้าไม่ชัด
  • ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์แต่ต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานกว่า
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวบาง หรือผิวขาดคอลลาเจน
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่พึ่งการศัลยกรรม
  • ผู้ที่สามารถรอผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป (ไม่รีบเห็นผลทันที)

อย่างไรก็ตาม การฉีด Sculptra ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมกับสภาพผิว โครงสร้างหน้า และเป้าหมายของแต่ละบุคคล

Sculptra ฉีดจุดไหนได้บ้าง?

Sculptra เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดวอลุ่ม หรือโครงหน้าดูอ่อนแรงจากการสูญเสียคอลลาเจน โดยตำแหน่งยอดนิยมที่แพทย์ใช้ฉีด Sculptra ได้แก่

  • ขมับลึก – ช่วยเติมเต็มให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
  • แก้มตอบ – ปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู มีมิติ ไม่ดูเหนื่อยล้า
  • กรอบหน้า – ช่วยให้ใบหน้าดูชัดขึ้น กระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • แนวกระพุ้งแก้ม/ใต้โหนกแก้ม – ฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่บางและขาดความแน่น
  • คาง (บางเคส) – ใช้ร่วมกับหัตถการอื่นเพื่อสร้างความสมดุลของรูปหน้า

Sculptra ไม่เหมาะสำหรับจุดที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หรือจมูก เนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องการการเติมเต็มที่แม่นยำและเห็นผลทันที ซึ่งเทคนิคอื่นจะเหมาะสมกว่า

การเลือกจุดฉีดควรผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแต่ละบุคคล

เตรียมตัวก่อนฉีด Sculptra อย่างไร?

แม้การฉีด Sculptra จะไม่ต้องพักฟื้นมาก แต่การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับบริการมีผลต่อผลลัพธ์และลดความเสี่ยงหลังทำได้อย่างชัดเจน โดยแพทย์มักแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้:

  • งดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs), น้ำมันปลา, วิตามินอี, โสม หรือกระเทียม อย่างน้อย 3–7 วันก่อนทำ
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงก่อนเข้ารับบริการ เพื่อลดความเสี่ยงช้ำหรือแผลหายช้า
  • แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว หรือใช้ยารักษาใดอยู่เป็นประจำ รวมถึงประวัติแพ้ยาชา ยาฉีด หรือโรคเลือดออกผิดปกติ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และตอบสนองต่อการกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแรง ๆ ก่อนวันทำ เพื่อให้ผิวสะอาด ไม่มีการระคายเคืองหรือเสี่ยงต่อการอักเสบ
  • หากมีสิวอักเสบ ผื่นแพ้ หรือแผลบริเวณที่จะฉีด ควรเลื่อนนัด เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ขั้นตอนการฉีด Sculptra เป็นอย่างไร?

การฉีด Sculptra ถือเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์เป็นพิเศษ เพราะไม่ใช่แค่การเติมเต็มทันที แต่เป็นการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยขั้นตอนทั่วไปมีดังนี้:

  1. ประเมินใบหน้าและวางแผนการรักษา แพทย์จะตรวจสภาพผิว วิเคราะห์โครงสร้างหน้า และออกแบบตำแหน่งการฉีดให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
  2. ทำความสะอาดและเตรียมผิว ล้างเครื่องสำอางและทำความสะอาดผิวบริเวณที่ฉีด จากนั้นอาจทายาชาหรือฉีดยาชาเฉพาะจุดเพื่อความสบายขณะทำ
  3. ฉีด Sculptra เข้าชั้นผิวที่เหมาะสม แพทย์จะใช้เทคนิคเฉพาะในการฉีด Sculptra เข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง โดยเน้นกระจายสารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. นวดเบา ๆ หลังฉีด หลังฉีดเสร็จ แพทย์หรือผู้ช่วยจะนวดผิวบริเวณที่ฉีดเบา ๆ เพื่อให้สารกระจายตัวและลดความเสี่ยงของการจับตัวเป็นก้อน

ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที และสามารถกลับบ้านได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น

หลังฉีด Sculptra ต้องดูแลอย่างไร?

การดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวย เรียบเนียน และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่าง ๆ โดยมีข้อแนะนำที่ควรปฏิบัติดังนี้

  • นวดบริเวณที่ฉีดตามหลัก 5-5-5 คือการนวดวันละ 5 นาที 5 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน เพื่อช่วยให้สารกระจายตัวทั่วถึง ป้องกันการจับตัวเป็นก้อน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดแรง ๆ งดการขัดหน้า แปะมาสก์ หรือกดนวดแรง ๆ ในช่วง 3–5 วันแรก
  • หลีกเลี่ยงความร้อนสูงทุกประเภท เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก หรือโดนแดดจัด อย่างน้อย 3–7 วัน เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือบวมเพิ่ม
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงหลังทำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงช้ำและการฟื้นตัวล่าช้า
  • ดื่มน้ำมาก ๆ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายตอบสนองต่อการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงนานเกิน 7 วัน เจ็บ ปวด หรือมีก้อนแข็งผิดปกติ ควรรีบติดต่อคลินิกทันที

Sculptra มีผลข้างเคียงไหม? อันตรายหรือเปล่า

แม้ Sculptra จะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกาและ อย. ไทย ว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในงานความงาม แต่การฉีดทุกชนิดก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะหากทำโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือดูแลตัวเองหลังทำไม่เหมาะสม

ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป ได้แก่

  • รู้สึกระบมหรือบวมเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
  • มีรอยแดงหรือรอยเข็มในช่วง 1–3 วันแรก
  • รู้สึกเป็นก้อนนูนเล็กน้อยใต้ผิว ซึ่งมักหายไปเองหลังนวดและดูแลถูกต้อง
  • อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย (ในบางราย)

ผลข้างเคียงที่พบได้ยาก แต่ควรระวัง

  • ก้อนแข็งที่ไม่ยุบภายใน 1–2 เดือน
  • อาการอักเสบ บวมแดงรุนแรง หรือปวดผิดปกติ
  • การติดเชื้อ หากฉีดในสภาพแวดล้อมไม่สะอาด

วิธีลดความเสี่ยง

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน อย
  • ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังฉีดอย่างเคร่งครัด

Sculptra เห็นผลเมื่อไหร่?

ผลลัพธ์ของ Sculptra จะไม่ปรากฏทันทีหลังฉีด เนื่องจากสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) จะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา โดยโดยทั่วไป:

  • ผู้รับบริการจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวในช่วง สัปดาห์ที่ 3–6 หลังฉีด
  • ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2–3 เดือนแรก
  • การเปลี่ยนแปลงจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ หรือเปลี่ยนทันทีหลังทำ

จำนวนครั้งที่ฉีดมีผลต่อการเห็นผล ในหลายกรณี แพทย์จะแนะนำให้ฉีด Sculptra เป็นคอร์ส (เช่น 2–3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 4–6 สัปดาห์) เพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้น

ทั้งนี้ ความเร็วในการเห็นผลอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว พฤติกรรมการดูแลตัวเอง และปัจจัยทางร่างกายอื่น ๆ

Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน?

หนึ่งในจุดเด่นของ Sculptra คือ “ความคงอยู่ของผลลัพธ์” ที่ยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจากไม่ใช่แค่เติมเต็มผิว แต่เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเอง

  • ผลลัพธ์ของ Sculptra สามารถอยู่ได้นานประมาณ 18–24 เดือน หากได้รับการฉีดในจำนวนครั้งที่เหมาะสม และดูแลผิวดีหลังทำ
  • หลังจากคอลลาเจนสร้างขึ้นเต็มที่ ผลลัพธ์จะคงตัวและค่อย ๆ ลดลงตามธรรมชาติของผิว โดยไม่มีสารตกค้าง หรือบวมผิดรูปในระยะยาว
  • ผู้ที่รักษาอย่างต่อเนื่องและมีพฤติกรรมการดูแลผิวดี (เช่น ดื่มน้ำ พักผ่อนดี หลีกเลี่ยงแดดจัด) อาจคงผลลัพธ์ได้นานกว่า 2 ปี
  • สามารถ “เติม” ได้เป็นระยะเมื่อเริ่มรู้สึกว่าผลลัพธ์เริ่มจางลง โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มคอร์สใหม่ทั้งหมด

Sculptra ราคาเท่าไหร่?

ราคาของ Sculptra จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณที่ใช้ จำนวนครั้งในการรักษา พื้นที่ที่ฉีด และความชำนาญของแพทย์ผู้ทำหัตถการ โดยทั่วไป ราคา จะคิดเป็นขวด (vial) ซึ่งเป็นหน่วยของผลิตภัณฑ์ที่ใช้

ราคาที่ smooth clinic (โปรโมชัน 2025)

  • ถ้าซื้อ 1 ขวด / ขวดละ 29,000 บาท
  • ถ้าซื้อ 2 ขวด / ขวดละ 27,900 บาท
  • ถ้าซื้อ 3 ขวด / ขวดละ 25,300 บาท

ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำ คอร์ส 2–3 ขวด ขึ้นอยู่กับปัญหาและตำแหน่ง

สิ่งที่รวมอยู่ในราคาที่ควรตรวจสอบ

  • ผลิตภัณฑ์แท้จากบริษัทที่มีอย. ไทย
  • ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน
  • ค่าแพทย์ ค่าบริการ ค่าติดตามผล
  • การนวดหรือ Aftercare ตามแพ็คเกจ

Sculptra ของแท้ดูยังไง?

การเลือกใช้ Sculptra ของแท้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ของการรักษา ปัจจุบันพบว่ามีผลิตภัณฑ์ปลอม หรือการ “แบ่งขวด” ซึ่งอาจทำให้สารปนเปื้อนหรือออกฤทธิ์ไม่สมบูรณ์ได้

วิธีตรวจสอบ Sculptra ของแท้

  1. มีฉลากภาษาไทย + อย. ไทย ขวด Sculptra ของแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้องจะต้องมีสติ๊กเกอร์ภาษาไทย พร้อมเลขทะเบียน อย. ชัดเจน
  2. กล่องและขวดปิดสนิท ไม่มีร่องรอยเปิดหรือดัดแปลง ขวดควรอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปิดผนึก ไม่มีรอยรั่วหรือคราบเปื้อน
  3. ผลิตภัณฑ์จะมาในรูปแบบผง (Lyophilized Powder) ก่อนใช้ แพทย์จะทำการผสมน้ำเกลือปราศจากเชื้อ (sterile water) เองในคลินิก
  4. แพทย์หรือเจ้าหน้าที่แสดงขวดให้ดูต่อหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นขวดใหม่ ไม่ใช่ของที่ “ใช้แล้วแบ่ง”
  5. ตรวจสอบเลขล็อตสินค้า (Lot No.) และวันหมดอายุ หมายเลขนี้สามารถนำไปเช็กกับบริษัทตัวแทนหรือคลินิกผู้นำเข้าได้

Sculptra เหมาะกับผู้ชายไหม?

Sculptra ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูคมชัดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ดูโป๊ะหรือเปลี่ยนแปลงจนเกินไป

เหตุผลที่ Sculptra เหมาะกับผู้ชาย

  • ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เปลี่ยนทันทีแบบฟิลเลอร์ จึงเหมาะกับผู้ชายที่ต้องการลุคธรรมชาติ
  • เสริมความชัดเจนของกรอบหน้าและแนวขากรรไกร (jawline) โดยไม่ดูหวานหรืออ่อนโยนเกินไป
  • ฟื้นฟูปัญหาขมับลึก แก้มตอบ หรือผิวโทรมจากอายุหรือการลดน้ำหนัก
  • ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นนาน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้ชายที่ไม่ชอบหยุดงาน

นอกจากนี้ การฉีด Sculptra ยังสามารถปรับตามสรีระและสไตล์ของผู้ชายแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยังคงความแมน ดูสุขภาพดี และไม่ออกแนวหวานเกินไป

Sculptra ทำพร้อมหัตถการอื่นได้ไหม?

Sculptra สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ในหลายกรณี หากอยู่ภายใต้การวางแผนอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยเสริมผลลัพธ์ด้านความงามให้ครบมิติมากขึ้น เช่น ยกกระชับ เติมเต็ม และปรับผิวโดยรวม

ตัวอย่างหัตถการที่สามารถทำร่วมกับ Sculptra ได้:

  • Ultherapy Prime / Ultraformer III / Sylfirm X Plus / Oligio
    → ช่วยยกกระชับผิวชั้นลึก เสริมผลการกระตุ้นคอลลาเจน
    (ควรเว้นระยะ 2–4 สัปดาห์ก่อนหรือหลัง Sculptra ตามดุลยพินิจของแพทย์)
  • โบท็อกซ์ (Botox)
    → ลดริ้วรอยเฉพาะจุด เช่น หว่างคิ้ว หน้าผาก หางตา โดยไม่กระทบจุดที่ฉีด Sculptra
  • เลเซอร์ / Meso / Skinbooster or Skin Quality
    → เพิ่มคุณภาพผิวร่วมกัน เช่น ผิวใส ฉ่ำวาว ควบคู่กับการฟื้นฟูโครงสร้างจาก Sculptra
  • ฟิลเลอร์ (HA Filler)
    → ใช้ในจุดที่ Sculptra ไม่เหมาะ เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก ซึ่งต้องการผลลัพธ์ทันที

ข้อควรรู้

  • แพทย์จะประเมินตำแหน่งและลำดับการทำให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้หัตถการรบกวนกัน
  • ควรหลีกเลี่ยงการฉีดหลายอย่างในบริเวณเดียวกันพร้อมกัน หากยังไม่จำเป็น

ทำไมบางคนฉีด Sculptra แล้วไม่เห็นผล?

แม้ Sculptra จะเป็นหัตถการที่ได้รับการยืนยันจากทั้งงานวิจัยและผู้ใช้งานจริงว่าช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวได้ดี แต่ก็มีบางกรณีที่ผู้รับบริการรู้สึกว่า “ไม่เห็นผล” หรือ “ผลลัพธ์น้อยกว่าที่คาด” ซึ่งมักมีสาเหตุดังนี้:

สาเหตุที่อาจทำให้เห็นผลช้า หรือไม่ชัดเจน

  1. ไม่ทำครบตามจำนวนครั้งที่แพทย์แนะนำ เช่น ฉีดเพียง 1 ขวด ทั้งที่ควรได้รับ 2–3 ขวดต่อคอร์ส
  2. ไม่ได้ทำซ้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เว้นระยะห่างนานเกิน หรือไม่กลับมาทำตามแผนที่วางไว้
  3. ไม่ได้ดูแลหลังฉีดอย่างถูกต้อง เช่น ไม่ได้นวดตามหลัก 5-5-5 หรือใช้ผลิตภัณฑ์ระคายเคืองหลังฉีด
  4. ผิวขาดคอลลาเจนอย่างรุนแรง หรืออายุเกิน 50 ปี กลุ่มนี้อาจต้องใช้เวลานานกว่าร่างกายจะตอบสนอง และอาจต้องทำหลายรอบ
  5. คาดหวังผลลัพธ์แบบทันที (เหมือนฟิลเลอร์) ซึ่ง Sculptra ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะต้องรอการสร้างคอลลาเจน
  6. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือแบ่งขวด มีผลต่อประสิทธิภาพของการกระตุ้นคอลลาเจนโดยตรง

วิธีเลือกคลินิกฉีด Sculptra อย่างปลอดภัย

การฉีด Sculptra เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยทั้งความเชี่ยวชาญของแพทย์ และความปลอดภัยของสถานพยาบาล หากเลือกคลินิกผิด อาจเสี่ยงต่อการเกิดก้อนแข็ง การติดเชื้อ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ปลอมได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจ ควรตรวจสอบตามรายการต่อไปนี้:

เช็กลิสต์คลินิกที่ควรเลือก

  • ได้รับอนุญาตโดยกระทรวงสาธารณสุข มีเลขใบอนุญาตสถานพยาบาลแสดงชัดเจน และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • ฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้าน Sculptra โดยเฉพาะ ควรถามชื่อแพทย์ ประวัติ และดูผลงานจริงก่อนตัดสินใจ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์แท้ มีฉลากภาษาไทย + อย. ไทย ทางคลินิกควรแสดงขวดก่อนฉีด พร้อมข้อมูลยืนยันล็อตสินค้า
  • สถานที่สะอาด เครื่องมือได้มาตรฐาน มีการใช้เข็มปลอดเชื้อ อุปกรณ์ใหม่ และระบบการฆ่าเชื้อครบ
  • มีระบบติดตามผลหลังฉีด เช่น นัดตรวจซ้ำ ปรึกษาได้หากเกิดอาการผิดปกติ
  • ไม่หลอกลวงด้วยโปรโมชั่นผิดปกติ เช่น ขวดละหมื่นต้น ๆ หรือฉีด “แบ่งขวด” โดยไม่ชี้แจง

Sculptra อยู่ในร่างกายนานเกินไป อันตรายไหม?

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยจากผู้ที่สนใจฉีด Sculptra คือ “ถ้าอยู่ในร่างกายนาน จะเป็นอันตรายไหม?” คำตอบคือ ไม่อันตราย หากใช้ผลิตภัณฑ์แท้ และฉีดโดยแพทย์ผู้มีความชำนาญ

เหตุผลที่ Sculptra ปลอดภัยต่อร่างกาย

  • Sculptra ทำจากสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เป็นสารที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่สะสม ไม่ตกค้าง
  • PLLA ถูกใช้ในทางการแพทย์มายาวนานกว่า 30 ปี เช่น ในการเย็บแผลภายใน หรือร่างแหละลายได้ที่ใช้ในการผ่าตัด
  • สารจะค่อย ๆ กระตุ้นคอลลาเจนในร่างกาย และสลายตัวไปเองภายใน 18–24 เดือน โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ใต้ผิว
  • ไม่มีโลหะหนัก หรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดการสะสม ต่างจากบางผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ไม่ได้มาตรฐาน

ข้อควรระวัง

แม้ตัวสารจะปลอดภัย แต่หากฉีดผิดชั้นผิว ผิดเทคนิค หรือปริมาณไม่เหมาะสม อาจเกิดก้อนแข็งหรือผลข้างเคียงได้ ดังนั้นควรเลือกคลินิกที่ไว้ใจได้ และมีแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น

Sculptra vs Juvelook vs Rejuran vs Skinvive ต่างกันยังไง?

เทรนด์ฉีดหน้าแบบ “กระตุ้นผิวจากภายใน” กำลังมาแรง และมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Biostimulator/Booster ให้เลือกหลายตัว ทั้ง Sculptra, Juvelook, Rejuran และ Skinvive ซึ่งแต่ละตัวมีคุณสมบัติแตกต่างกัน และเหมาะกับปัญหาผิวที่ไม่เหมือนกัน

ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย

รายการเปรียบเทียบ Sculptra Juvelook Rejuran Skinvive
สารสำคัญ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) Hyaluronic Acid + PN Polynucleotide (PN) Hyaluronic Acid
กลไกหลัก กระตุ้นคอลลาเจนลึก ฟื้นฟูผิว + เติมน้ำ ซ่อมแซมเซลล์ผิว เติมน้ำเฉพาะจุด
จุดเด่น หน้าแน่น ลึก ยาวนาน ผิวใส ฉ่ำ ลดรอย ผิวแข็งแรง ลดอักเสบ ผิวฉ่ำ Glow ทันที
เหมาะกับใคร ผิวหย่อนคล้อย อายุ 30+ ผิวหมอง ขาดน้ำ ผิวแพ้ง่าย มีสิวเรื้อรัง ผิวขาดน้ำ ไม่เรียบ
เห็นผลเมื่อไหร่ 6–12 สัปดาห์ 1–2 สัปดาห์ 2–3 สัปดาห์ ทันทีหลังฉีด
อยู่ได้นาน 18–24 เดือน 4–6 เดือน 4–6 เดือน 4–6 เดือน

อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบ Sculptra vs Juvelook vs Rejuran vs Skinvive ต่างกันยังไง?

ควรเริ่มฉีด Sculptra ตอนอายุเท่าไหร่ดี?

Sculptra ไม่ใช่หัตถการสำหรับ “แก้ปัญหา” เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อ “ป้องกันความเสื่อมของผิว” ได้อีกด้วย การเลือกช่วงอายุที่เหมาะสมจะช่วยให้เห็นผลชัด และลดการสูญเสียคอลลาเจนในระยะยาว

แนวทางแนะนำตามช่วงอายุ

  • อายุ 25–30 ปี: เริ่มมีการลดลงของคอลลาเจนโดยธรรมชาติ
    → เหมาะสำหรับ “ป้องกันไว้ก่อน” หรือเน้นฟื้นฟูผิวเบา ๆ ไม่ต้องใช้ปริมาณมาก
  • อายุ 30–40 ปี: ผิวเริ่มมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ร่องลึกเริ่มปรากฏ
    → เป็นช่วง “เหมาะสมที่สุด” สำหรับเริ่มฉีด Sculptra เพื่อชะลอความร่วงโรย
  • อายุ 40–50 ปี: มีการสูญเสีย volume มากขึ้น โครงหน้าหย่อน
    → เหมาะกับการทำเป็นคอร์สร่วมกับการยกกระชับ และวางแผนดูแลระยะยาว
  • อายุ 50 ปีขึ้นไป: ยังสามารถทำได้ แต่ควรอยู่ในการประเมินของแพทย์ว่า Sculptra เพียงพอหรือควรทำหัตถการร่วมด้วย

หากเริ่มฉีดตั้งแต่อายุ 30 ปีต้น ๆ โดยวางแผนอย่างเหมาะสม จะสามารถ “ปั้นหน้า” และ “รักษาโครงหน้าเดิม” ไว้ได้ยาวนานกว่าการแก้ปัญหาเมื่อผิวหย่อนแล้ว

Sculptra เหมาะกับคนผิวบางไหม?

ผู้ที่มีผิวบาง มักกังวลว่าการฉีด Sculptra จะทำให้เกิดก้อน เห็นเป็นลำ หรือเกิดผลข้างเคียงมากกว่าคนผิวหนา ความจริงแล้ว Sculptra สามารถใช้ได้กับคนผิวบาง หากวางแผนอย่างถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

จุดสำคัญที่แพทย์ต้องคำนึงถึงในคนผิวบาง:

  • เลือกฉีดในระดับชั้นผิวที่ลึกพอเหมาะ เพื่อไม่ให้สารอยู่ใกล้ชั้นผิวหนังจนเห็นเป็นเส้นหรือเกิดก้อน
  • ใช้เทคนิคการกระจายสารที่ละเอียด เช่น Fan หรือ Linear Threading เพื่อให้กระจายทั่วและเรียบ
  • ใช้ปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปในแต่ละจุด คนผิวบางอาจต้องใช้หลายจุด แต่ปริมาณน้อยในแต่ละตำแหน่ง
  • เน้นการนวดหลังฉีดอย่างถูกวิธี ลดความเสี่ยงการจับตัวเป็นก้อนในชั้นผิว

คนผิวบางสามารถฉีด Sculptra ได้ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ หากเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเข้าใจลักษณะผิวเฉพาะตัวของแต่ละคน

Sculptra ช่วยเรื่องรูขุมขน ผิวเนียนไหม?

แม้ Sculptra จะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “ผิวฉ่ำวาว” หรือ “ลดรูขุมขน” โดยตรงแบบ Skinbooster หรือ Meso แต่การกระตุ้นคอลลาเจนลึกที่เกิดขึ้นจาก Sculptra สามารถช่วยให้ผิวดูเรียบแน่น รูขุมขนกระชับ และผิวเนียนขึ้นในระยะยาวได้

ผลลัพธ์ต่อ “คุณภาพผิว” ของ Sculptra

  • คอลลาเจนใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่นมากขึ้น ส่งผลให้พื้นผิวผิวเรียบ รูขุมขนดูกระชับขึ้นโดยธรรมชาติ
  • ผิวดูสม่ำเสมอขึ้นจากโครงสร้างผิวที่แข็งแรงจากภายใน ช่วยลดปัญหารอยเล็ก ๆ และผิวหยาบบริเวณแก้ม ขมับ
  • ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เห็นชัดทันที แต่เป็นการฟื้นฟูลึกในระยะยาว จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวดูแน่นแบบธรรมชาติ ไม่เงาฉ่ำแบบผิวเกาหลี

หากต้องการผลลัพธ์เรื่องผิวชัดเจน

สามารถทำร่วมกับ Meso, Skinbooster หรือเลเซอร์กลุ่ม Resurfacing เพื่อเน้นผิวใส ฉ่ำ รูขุมขนเรียบโดยตรง

Sculptra เหมาะกับการ “ปั้นหน้า” หรือ “ยกหน้า” มากกว่ากัน?

Sculptra เป็นหัตถการที่หลายคนสงสัยว่า เหมาะกับการ “ปั้นหน้าให้เด็ก” หรือ “ยกกระชับหน้า” กันแน่ คำตอบคือ Sculptra ทำได้ทั้งสองแบบ แต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคและการออกแบบการฉีดโดยแพทย์

ปั้นหน้า (Facial Sculpting)

  • เน้นการ “เติมโครงสร้างลึก” ให้ใบหน้าดูเต็มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น แก้มตอบ ขมับลึก คางสั้น
  • ทำให้หน้าเด็กขึ้นโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้าเดิมแบบชัดเจน
  • เหมาะกับผู้ที่เริ่มมี volume loss จากอายุหรือการลดน้ำหนัก

ยกหน้า (Lifting & Tightening):

  • กระตุ้นคอลลาเจนให้ “ยกกระชับเนื้อเยื่อ” โดยไม่ต้องใช้ฟิลเลอร์
  • เหมาะกับคนที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้เครื่องมือหรือศัลยกรรม
  • ให้ผลลัพธ์ “ผิวแน่น กรอบหน้าชัด” ในระยะยาว

แพทย์มักใช้แนวทาง “ผสมผสาน”

  • ออกแบบการฉีดแบบ Dual Benefit: ปั้น + ยก
  • ฉีดชั้นลึกเพื่อโครงสร้าง และกระจายเพื่อยกกระชับผิว
  • เหมาะกับกลุ่มอายุ 30–45 ปี ที่ต้องการรักษาหน้าเดิมไว้ให้นานที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Sculptra (FAQs)

1. Sculptra เจ็บไหมตอนฉีด?

โดยทั่วไป Sculptra จะผสมยาชา Lidocaine อยู่ในสารก่อนฉีดอยู่แล้ว ทำให้ระหว่างฉีดรู้สึกเจ็บน้อยมาก บางเคสอาจรู้สึกตึงเล็กน้อยตอนฉีด แต่โดยรวมไม่ถึงขั้นเจ็บ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังทำ

2. ฉีด Sculptra แล้วออกกำลังกายได้ไหม?

ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เหงื่อออกเยอะ ใน 24–48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบหรือบวมมากขึ้น

3. Sculptra เหมาะกับคนที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนไหม?

ได้ค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดการเติมฟิลเลอร์ซ้ำบ่อย ๆ Sculptra ช่วยสร้างฐานคอลลาเจน ทำให้โครงหน้าดูแน่นขึ้นแบบธรรมชาติ และช่วยลดปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ในอนาคต

4. Sculptra ฉีดใต้ตาได้ไหม?

โดยทั่วไปแพทย์ ไม่แนะนำให้ฉีด Sculptra บริเวณใต้ตาโดยตรง เพราะเป็นจุดที่ผิวบางมาก และเสี่ยงเกิดก้อนได้ง่าย ควรใช้ฟิลเลอร์ชนิดเฉพาะแทน หรือเสริมด้วย Sculptra รอบข้างเพื่อยกพยุงโครงสร้าง

5. Sculptra เห็นผลนาน แต่ทำไมบางคนยังต้องเติมซ้ำทุกปี?

แม้สาร PLLA จะอยู่ในร่างกายได้นาน 18–24 เดือน แต่ปัจจัยอย่างอายุ ผิวเดิม การดูแลตัวเอง และไลฟ์สไตล์ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ นอนดึก สูบบุหรี่ ล้วนมีผลต่อการสร้างคอลลาเจน แพทย์จึงอาจแนะนำเติมปีละครั้งเพื่อคงผลลัพธ์

สรุป: Sculptra ไม่ใช่แค่ฉีดหน้า แต่คือการฟื้นฟูผิวลึกอย่างยั่งยืน

Sculptra เป็นมากกว่าการเติมเต็มชั่วคราว แต่เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างคอลลาเจน คืนโครงสร้างผิวอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่ต้องการปั้นหน้าหรือยกกระชับโดยไม่ศัลยกรรม ไม่ต้องเติมบ่อย และคงผลลัพธ์ได้นานถึง 2 ปี

หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่เน้นผลลัพธ์ระยะยาวและไม่เปลี่ยนตัวตน Sculptra อาจเป็นคำตอบที่คุณมองหา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อออกแบบแผนการฉีดที่เหมาะกับคุณที่สุด

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา