Smooth FmH 1080X1920Smooth Cover Web Smooth 1177X1460 5

โบท็อกซ์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่ มียี่ห้ออะไรบ้าง ฉีดตรงไหนดี

ถ้าคุณเริ่มสังเกตว่าผิวหน้ามีริ้วรอยตอนยิ้ม หรือกรอบหน้าไม่ชัดเหมือนเดิม โบท็อกซ์ (Botox) อาจช่วยคุณได้ หัตถการความงามยอดนิยมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้เวลาไม่นาน ปลอดภัย ในบทความนี้หมอจะพาคุณไปรู้จัก โบท็อกซ์ (Botox) แบบครบทุกมิติ ตั้งแต่คืออะไร ยี่ห้อไหนดี ราคาเท่าไหร่ ไปจนถึงวิธีเตรียมตัวและการดูแลหลังฉีดอย่างถูกวิธีครับ

สารบัญ hide

โบท็อกซ์ คืออะไร?

โบท็อกซ์ หรือ Botox คือชื่อทางการค้าของสารที่มีชื่อเต็มว่า Botulinum Toxin Type A ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ในทางการแพทย์ความงาม เราใช้สารตัวนี้เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อบางมัดที่มีการหดเกร็งมากเกินไป จึงสามารถลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ การทำงานของ โบท็อกซ์ คือการไปยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า Acetylcholine ซึ่งทำหน้าที่ส่งคำสั่งจากเส้นประสาทไปยังกล้ามเนื้อ เมื่อสัญญาณนี้ถูกยับยั้ง กล้ามเนื้อจะหดตัวได้น้อยลง ส่งผลให้เวลาแสดงสีหน้า ริ้วรอยจึงลดน้อยลง

จุดเด่นของโบท็อกซ์

  • เป็นหัตถการแบบ ไม่ต้องผ่าตัด
  • ใช้เวลารวดเร็ว ประมาณ 15–30 นาที
  • ไม่ต้องพักฟื้น
  • เห็นผลลัพธ์เร็วภายใน 3–7 วัน
  • ปลอดภัย หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้ตัวยาแท้

โบท็อกซ์ถูกนำมาใช้ในอะไรบ้าง?

สำหรับคนทั่วไปจะรู้จัก โบท็อกซ์ ในแง่ของการลดริ้วรอยความงาม แต่จริงๆ แล้วในวงการแพทย์ Botox ยังถูกใช้รักษาอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ภาวะกล้ามเนื้อกระตุก (เช่น ตากระตุก) ไมเกรนเรื้อรัง ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) Botulinum Toxin Type A ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก FDA สหรัฐอเมริกาและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทย (อย.)

ฉีดโบท็อกซ์บริเวณไหนได้บ้าง

ฉีดโบท็อกซ์บริเวณไหนได้บ้าง

การฉีดโบท็อกซ์สามารถทำได้หลายบริเวณทั้งร่างกายและใบหน้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล

  • โบท็อกซ์ริ้วรอย นับเป็นข้อบ่งชี้หลักในการฉีดโบท็อกซ์ โดยนำมาใช้ลดริ้วรอยขณะแสดงสีหน้า (Dynamic wrinkles) และสามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยร่องลึก (Static wrinkles) ในอนาคตได้อีกด้วย บริเวณที่ฉีดจะมีตีนกา ร่องขมวดคิ้ว รอยย่นหน้าผาก รอยย่นบริเวณข้างจมูก
  • โบท็อกซ์กราม แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ โดยจะเข้าไปจะลดการทำงานของกล้ามเนื้อกราม ทำให้กรามมีขนาดเล็กลง ใบหน้าดูเรียวเล็กลง
  • โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า แก้ไขปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ผิวหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ผิวบริเวณกรอบหน้ากระชับขึ้น
  • โบท็อกซ์ลิฟคอ เป็นการฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนคอ ช่วยลดเส้นริ้วรอยบริเวณคอให้ดูกระชับขึ้น
  • โบท็อกซ์กระชับรูขุมขน แก้ปัญหารูขุมขนกว้างให้รูขุมขนกระชับขึ้น ใบหน้าเรียบเนียน ลดความมันบนใบหน้า และลดโอกาสในการเกิดสิว
  • โบท็อกซ์ปีกจมูก โบท็อกซ์จมูกรัดแกน เป็นการฉีดโบท็อกซ์ที่บริเวณจมูก เพื่อลดขนาดปีกจมูกลง และรัดแกนมากยิ่งขึ้น ให้แกนจมูกดูคมชัดขึ้น
  • โบท็อกซ์ลดเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกเยอะ หรือมีปัญหากลิ่นตัวร่วมด้วย ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าทำกิจกรรมต่างๆอย่างเต็มที่
  • โบท็อกซ์ลดน่อง เป็นการฉีดเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณน่อง แก้ปัญหาน่องใหญ่ น่องปูด ให้น่องมีขนาดเล็กลง ดูขาเรียวเล็กขึ้น
  • โบท็อกซ์รักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน เป็นการฉีดโบท็อกซ์บนจุดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดไมเกรน ซึ่งจะช่วยให้อาการปวดไมเกรนลดลง

โบท็อกซ์แต่ละบริเวณต้องใช้กี่ยูนิต

ปริมาณยูนิตที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์จะแตกต่างกันไปในตามปัญหาของแต่ละบุคคล บริเวณที่ต้องการฉีด และขนาดของมัดกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาจะเป็นผู้ประเมินจำนวนยูนิตในแต่ละเคสก่อนทำการรักษา

  • ฉีดโบท็อกซ์กราม จะใช้อยู่ที่ประมาณ 30-50 ยูนิต
  • ฉีดโบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า จะใช้อยู่ที่ประมาณ 30-50 ยูนิต
  • ฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก จะใช้อยู่ที่ประมาณ 15-20 ยูนิต
  • ฉีดโบท็อกซ์หว่างคิ้ว จะใช้อยู่ที่ประมาณ 6-15 ยูนิต
  • ฉีดโบท็อกซ์หางตา จะใช้อยู่ที่ประมาณ 10-25 ยูนิต
  • ฉีดโบท็อกซ์ปีกจมูก จะใช้อยู่ที่ประมาณ 25 ยูนิต
  • ฉีดโบท็อกซ์รักแร้ จะใช้อยู่ที่ประมาณ 50-100 ยูนิต

โบท็อกซ์ต่างจากฟิลเลอร์ยังไง?

หลายคนยังสับสนระหว่าง “โบท็อกซ์” กับ “ฟิลเลอร์” ซึ่งจริงๆ แล้วทำหน้าที่ต่างกันครับ

  • โบท็อกซ์ = ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ (ลดริ้วรอย, หน้าเรียวด้วยการลดกล้ามเนื้อกราม)
  • ฟิลเลอร์ = เติมเต็ม (เติมร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ดูมีวอลลุ่ม)

ดังนั้น หากคุณมีปัญหาลดริ้วรอย อยากหน้าเรียวต้องฉีดโบท็อกซ์ ถ้ามีร่องลึก หน้าตอบ หรือผิวดูโทรม หมอจะแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ครับ

โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี?

ยี่ห้อ โบท็อกซ์ (Botox) ที่ได้รับความนิยมในไทย มีทั้งหมด 6 ยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นต่างกัน ต้องเลือกให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีด รวมถึงความต้องการเฉพาะของแต่ละคน

1. Allergan (อัลเลอร์แกน) – จากอเมริกา

  • จุดเด่น: ความบริสุทธิ์สูง กระจายตัวยาแม่นยำ
  • ผลลัพธ์: เนียนธรรมชาติ อยู่ได้นานถึง 5–6 เดือน
  • เหมาะกับ: จุดที่ต้องการความละเอียด เช่น รอบดวงตา ริ้วรอยเล็กๆ
  • หมอแนะนำ: ถ้าต้องการคุณภาพสูงสุดและเน้นความปลอดภัย Allergan คือตัวเลือกอันดับต้นๆ

2. Xeomin (ซีโอมิน) – จากเยอรมนี

  • จุดเด่น: เป็น Botox บริสุทธิ์ “ไร้โปรตีนประกอบ” ลดโอกาสดื้อยา
  • ผลลัพธ์: อยู่ได้นาน 4–5 เดือน
  • เหมาะกับ: ผู้ที่เคยฉีดโบท็อกซ์ซ์บ่อย หรือเริ่มมีภาวะดื้อยา
  • หมอแนะนำ: เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์นาน โดยลดความเสี่ยงการแพ้

3. Neoronox (นิวโรน็อกซ์) – จากเกาหลี

  • จุดเด่น: ออกฤทธิ์เร็ว กระจายตัวแม่นยำ
  • ผลลัพธ์: เริ่มเห็นผลใน 3 วัน อยู่ได้ 4–5 เดือน
  • เหมาะกับ: ฉีดกราม ลดริ้วรอยบริเวณกว้าง เช่น หน้าผาก
  • หมอแนะนำ: ดีไซน์สำหรับคนที่ต้องการเห็นผลไว

4. Aestox (เอสท็อกซ์) – จากเกาหลี

  • จุดเด่น: ความบริสุทธิ์สูง ค่า pH ใกล้เคียงผิว ไม่แสบ ไม่บวม
  • ผลลัพธ์: เหมาะสำหรับผิวบอบบาง เห็นผลไว
  • เหมาะกับ: จุดเล็กๆ รอบดวงตา คนผิวแพ้ง่าย
  • หมอแนะนำ: สำหรับคนกลัวบวม กลัวเข็ม อยากได้แบบเบาสบาย

5. Botulax – จากเกาหลี

  • จุดเด่น: ราคาจับต้องได้ คุณภาพคงที่
  • ผลลัพธ์: อยู่ได้ 3–4 เดือน
  • เหมาะกับ: ผู้เริ่มต้นฉีดโบท็อกซ์ซ์ หรือต้องการเน้นเฉพาะบางจุดเล็ก
  • หมอแนะนำ: ถ้าต้องการควบคุมงบประมาณ และผลลัพธ์ระดับมาตรฐาน

6. Hugel – จากเกาหลี

  • จุดเด่น: ราคาจับต้องได้ คุณภาพคงที่
  • ผลลัพธ์: อยู่ได้ 3–4 เดือน
  • เหมาะกับ: ผู้เริ่มต้นฉีดโบท็อกซ์ซ์ หรือต้องการเน้นเฉพาะบางจุดเล็ก
  • หมอแนะนำ: ถ้าต้องการควบคุมงบประมาณ และผลลัพธ์ระดับมาตรฐาน

ฉีดโบท็อกซ์ ราคาเท่าไหร่?

บริเวณที่ฉีดจำนวนยูนิตโดยเฉลี่ยAllergan (USA)Xeomin (Germany)Neuronox (Korea)Aestox (Korea)Botulax/Hugel (Korea)
ราคา/ยูนิต 250-350 บาทราคา/ยูนิต 200-300 บาทราคา/ยูนิต 100-150 บาทราคา/ยูนิต 90-130 บาทราคา/ยูนิต 70-100 บาท
หน้าผาก10–20 ยูนิต2,500–7,000 บาท2,000–6,000 บาท1,200–3,000 บาท1,000–2,600 บาท900–2,000 บาท
ระหว่างคิ้ว10–15 ยูนิต2,500–5,000 บาท2,000–4,000 บาท1,200–2,200 บาท1,000–1,800 บาท900–1,600 บาท
หางตา10–15 ยูนิต2,500–5,200 บาท2,000–4,200 บาท1,200–2,400 บาท1,000–1,900 บาท800–1,500 บาท
หางคิ้ว / Foxy eyes10–20 ยูนิต3,000–6,000 บาท2,500–5,000 บาท1,500–3,000 บาท1,200–2,600 บาท1,000–2,200 บาท
ลดกราม / หน้าเรียว40–60 ยูนิต12,000–17,500 บาท10,000–15,000 บาท5,000–7,500 บาท4,500–6,500 บาท3,500–5,000 บาท
ลิฟต์กรอบหน้า20–30 ยูนิต5,000–8,500 บาท4,000–7,000 บาท2,500–4,500 บาท2,000–3,800 บาท1,800–3,000 บาท
ลดเหงื่อรักแร้50–100 ยูนิต15,000–30,000 บาท12,000–25,000 บาท6,000–12,000 บาท5,000–10,000 บาท4,000–8,000 บาท
  • *ราคาขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณยูนิต และค่าบริการของแต่ละคลินิก
  • *ยูนิตเป็นเพียงค่าเฉลี่ย ต้องให้แพทย์ประเมินเพื่อความแม่นยำ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาฉีดโบท็อกซ์

  1. ยี่ห้อที่เลือกใช้ เช่น Allergan ราคาสูงกว่า Botulax เนื่องจากนำเข้าจากอเมริกาและผ่าน FDA
  2. จำนวนยูนิตที่ใช้ ปริมาณขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน บางคนต้องใช้มากกว่ามาตรฐานเล็กน้อย
  3. แพทย์ผู้ฉีด หากฉีดโดยแพทย์เฉพาะทาง หรือแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง อาจมีค่าบริการเพิ่ม
  4. โปรโมชั่น หลายคลินิกมีแพ็กเกจเหมาหลายจุดในราคาพิเศษ

โบท็อกซ์เหมาะกับใคร?

โบท็อกซ์ (Botox) ไม่ได้เหมาะแค่คนที่มีอายุมากเท่านั้นนะครับ คนอายุน้อยก็สามารถเริ่มฉีดได้ โดยเฉพาะในจุดที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าบ่อยๆ หรืออยากปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

กลุ่มที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์

  1. คนที่เริ่มมีริ้วรอยจากสีหน้า เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา ร่องระหว่างคิ้ว ซึ่งมักเกิดจากการขมวดคิ้วหรือยิ้มบ่อยๆ
  2. คนที่ต้องการหน้าเรียว ลดกราม สำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่จากการเคี้ยวอาหารหรือกัดฟันแรงๆ Botox สามารถคลายกล้ามเนื้อได้ ทำให้หน้าดูเรียวลงโดยไม่ต้องศัลยกรรม
  3. คนที่มีปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ เช่น ใต้วงแขน ฝ่ามือ ฝ่าเท้า Botox จะช่วยยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ดี
  4. ผู้ที่มีไมเกรนบางกลุ่ม แพทย์บางรายจะใช้ Botox เพื่อรักษาไมเกรนเรื้อรัง โดยฉีดในจุดเฉพาะที่มีการศึกษารองรับ

ใครที่ยังไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์?

  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • ผู้ที่แพ้สาร Botulinum toxin
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างการติดเชื้อหรือมีการอักเสบบริเวณที่จะฉีด

ฉีดโบท็อกซ์ช่วยอะไรได้บ้าง?

หลายคนรู้จัก โบท็อกซ์ ว่าใช้ลดริ้วรอย แต่จริงๆ แล้ว Botox มีประโยชน์หลากหลายมากกว่านั้น ทั้งด้านความงามและด้านการแพทย์ ซึ่งถ้ารู้จักใช้ให้ถูกจุด จะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดเลยครับ

ด้านความงาม (Aesthetic Use)

  1. ลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยตีนกา (หางตา) รอยยิ้มรอบปาก
  2. ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ลดขนาดกราม (Masseter Muscle) สำหรับคนที่มีใบหน้าเหลี่ยม หรือใช้กล้ามเนื้อกรามมาก เช่น คนที่ชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง แข็งๆ หรือมีอาการนอนกัดฟัน
  3. ยกคิ้ว / เปิดหางตา (Foxy Eyes) ช่วยเปิดตาให้ดูกลมโตสดใสขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหนังตา
  4. ลิฟต์กรอบหน้า / ปรับรูปหน้า V-shape ฉีดจุดเฉพาะรอบกรอบหน้าเพื่อให้กรอบหน้าชัด ผิวตึงขึ้นโดยไม่ต้องร้อยไหม
  5. ลดปีกจมูก / ยกปลายจมูกเล็กน้อย สำหรับผู้ที่อยากปรับทรงจมูกแบบไม่ผ่าตัด (ผลอยู่ได้ชั่วคราว)

ด้านการแพทย์ (Therapeutic Use)

  1. ลดเหงื่อ (Hyperhidrosis) ใช้ฉีดในรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อลดการหลั่งเหงื่อจากต่อมเหงื่อ
  2. รักษาไมเกรนเรื้อรัง ในบางรายที่มีไมเกรนบ่อยครั้ง Botox จะช่วยลดความถี่ของการปวดศีรษะได้
  3. กล้ามเนื้อกระตุกบางประเภท เช่น ตากระตุก, ปากเบี้ยว, กล้ามเนื้อเกร็งผิดปกติ

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ต้องเตรียมตัวยังไง?

การเตรียมตัวให้ถูกต้องก่อนเข้ารับบริการ ก็มีผลต่อประสิทธิภาพของยาและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ครับ

สิ่งที่ควรทำก่อนฉีด

  1. งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดล่วงหน้า 3–7 วัน เช่น Aspirin, Ibuprofen, Diclofenac, วิตามิน E, น้ำมันปลา, Ginkgo (แปะก๊วย) เพื่อป้องกันรอยช้ำบริเวณที่ฉีด
  2. งดแอลกอฮอล์ก่อนฉีด 24–48 ชั่วโมง เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้น เสี่ยงต่อการช้ำ
  3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับการรักษาและฟื้นตัวได้ดี
  4. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อความชุ่มชื้นของผิวและระบบไหลเวียนในร่างกาย
  5. งดการแต่งหน้าจัดในวันที่ฉีด โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องฉีด เช่น หน้าผาก รอบดวงตา คาง ฯลฯ เพราะแพทย์จะต้องทำความสะอาดผิวก่อนฉีดทุกครั้ง

สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนฉีด

  • อย่าทำทรีตเมนต์ความร้อนแรงๆ ก่อนฉีด เช่น เลเซอร์ RF HIFU เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวระคายเคือง
  • อย่าลืมแจ้งแพทย์หากคุณมีโรคประจำตัว หรือเคยมีประวัติแพ้ยา / Botox มาก่อน

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์เป็นยังไง?

  1. ปรึกษาและประเมินใบหน้า
    • แพทย์จะพูดคุยเพื่อเข้าใจความต้องการ เช่น อยากลดริ้วรอยหรือปรับรูปหน้า
    • จากนั้นประเมินตำแหน่งที่จะฉีด รวมถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในแต่ละจุด
    • เลือกยี่ห้อและปริมาณยูนิตที่เหมาะสม
  2. ทำความสะอาดใบหน้า
    • แพทย์จะล้างเครื่องสำอางและฆ่าเชื้อบริเวณที่จะฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  3. วาดตำแหน่งที่ต้องการฉีด
    • ใช้ปากกาแพทย์มาร์กจุดสำคัญ เพื่อให้ฉีดได้แม่นยำ
    • บางคลินิกอาจใช้เครื่องวิเคราะห์กล้ามเนื้อร่วมด้วย
  4. ฉีด Botox เข้ากล้ามเนื้อเฉพาะจุด
    • ใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดในระดับตื้นหรือระดับลึก ขึ้นกับแต่ละตำแหน่ง
    • ระยะเวลาเฉลี่ยในการฉีด: 10–20 นาที

ฉีดโบท็อกซ์เจ็บไหม?

ความรู้สึกจะคล้ายๆ มดกัดเล็กๆ หรือเจ็บจี๊ดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด หากกังวลเรื่องความเจ็บ แพทย์สามารถทายาชาหรือใช้ Ice Pack ประคบได้ครับ

หลังฉีดโบท็อกซ์ต้องทำอะไรบ้าง?

  1. อยู่ในท่านั่งหรือนั่งเอน 4–6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันตัวยาไหลไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ เช่น ทำให้หนังตาตก
  2. ขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเบาๆ เช่น ขมวดคิ้ว ยิ้ม หรือย่นหน้าผากเล็กน้อย ช่วยให้ตัวยาดูดซึมและจับกับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
  3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวดีและช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวย

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังฉีด

  • ห้ามนอนราบภายใน 4–6 ชั่วโมงแรก
  • ห้ามนวดหน้า ขัดหน้า หรือกดจุด บริเวณที่ฉีดใน 24–48 ชั่วโมง
  • งดการออกกำลังกายหนัก / ซาวน่า / แช่น้ำร้อน เป็นเวลา 1–2 วัน
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าแน่นๆ ทันทีหลังทำ โดยเฉพาะแป้งฝุ่นหรือรองพื้น

หากมีรอยช้ำเล็กๆ หลังฉีด ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และจะค่อยๆ จางลงภายในไม่กี่วัน แต่หากพบอาการผิดปกติ เช่น หนังตาตก ปากเบี้ยว ปวดหัวรุนแรง ให้รีบพบแพทย์ทันที

ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม?

คำถามนี้หมอได้ยินบ่อยมาก และก็เป็นเรื่องดีที่หลายคนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยก่อนฉีด จริงๆ แล้ว Botox ถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัยสูง หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และใช้ยาของแท้ที่ผ่าน อย. ครับ

อาการข้างเคียงที่ “อาจพบได้” และถือว่า “ไม่อันตราย”

  • รอยบวม แดง ช้ำ เล็กน้อยบริเวณที่ฉีด มักหายภายใน 2–3 วัน (หากรอยช้ำอยู่นานเกิน 7 วัน หรือมีอาการใหม่เพิ่มขึ้น ควรปรึกษาแพทย์)
  • รู้สึกตึงผิว หรือเกร็งกล้ามเนื้อ เป็นช่วงปรับตัวของกล้ามเนื้อใน 1–2 สัปดาห์แรก
  • ปวดศีรษะเล็กน้อย (เฉพาะบางราย)

อาการที่ “ไม่พบบ่อย” แต่ “ต้องพบแพทย์ทันที”

  • หนังตาตก คิ้วตก หรือปากเบี้ยว อาจเกิดจากตัวยาแพร่กระจายผิดตำแหน่ง
  • อาการแพ้ เช่น บวมมาก แดงร้อน หรือหายใจติดขัด ควรหยุดยาและรีบพบแพทย์

สาเหตุที่ทำให้การฉีดโบท็อกซ์เสี่ยงอันตราย

  1. ฉีดโดยผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์
  2. ใช้ Botox ปลอม / ไม่มี อย.
  3. ฉีดในปริมาณมากเกินไป หรือฉีดผิดตำแหน่ง
  4. ไม่ซักประวัติโรคประจำตัวก่อนฉีด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาท กล้ามเนื้อ

อาการที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

  • หนังตาตก / ปากเบี้ยว / ยิ้มไม่เท่ากัน อาจเกิดจากการกระจายของตัวยาไปยังกล้ามเนื้อใกล้เคียง
  • กลืนลำบาก / พูดลำบาก มักพบในเคสที่ฉีดบริเวณลำคอ หรือใช้ยูนิตมากเกินไป
  • อาการแพ้เฉียบพลัน เช่น คันมาก บวมแดงทั่วหน้า หายใจติดขัด

ฉีดโบท็อกซ์เห็นผลเมื่อไหร่?

คำถามที่หลายคนสงสัยหลังฉีด Botox คือ “จะเริ่มเห็นผลเมื่อไหร่?” และ “ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?” ซึ่งจริงๆ แล้วการออกฤทธิ์ของ Botox จะไม่เห็นผลทันทีหลังฉีดนะครับ แต่จะค่อยๆ แสดงผลชัดเจนขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลหลังฉีด

  • 3–5 วันแรก: เริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงลง เช่น ขมวดคิ้วแล้วตึงขึ้น
  • 7–14 วัน: ริ้วรอยจะเริ่มจางลง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น
  • 14 วันขึ้นไป: เป็นช่วงที่ผลลัพธ์ “นิ่งที่สุด” และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ฉีดโบท็อกซ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

บริเวณที่ฉีดระยะเวลาเฉลี่ย
ริ้วรอยหน้าผาก / หางตา3–4 เดือน
ลดกราม / หน้าเรียว4–6 เดือน
ลิฟต์กรอบหน้า / Foxy eyes3–5 เดือน
ลดเหงื่อ รักแร้ / ฝ่ามือ6–8 เดือน

*ระยะเวลานี้เป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งอาจสั้นหรือยาวกว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้, ปริมาณยูนิต, พฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อ และการดูแลตัวเองหลังฉีด

  • หลังฉีด ควรเข้ามาตรวจติดตาม ภายใน 14 วัน หากมีจุดใดที่ยังไม่สมดุล แพทย์จะสามารถปรับแต่งให้ได้อย่างปลอดภัย
  • การฉีดซ้ำอย่างเหมาะสม ทุก 4–6 เดือน จะช่วยรักษารูปหน้าและริ้วรอยให้คงอยู่ในระยะยาว

5 ข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อกซ์

  1. โบท็อกซ์ต้องเป็นของแท้ มี อย. ไทยรับรอง
    • ยี่ห้อที่ถูกต้องจะมี Lot Number, วันหมดอายุ และกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ตรวจสอบได้
    • หมอสามารถโชว์กล่องจริงก่อนฉีดให้ดูได้เสมอ
  2. เลือกคลินิกที่ มีใบอนุญาตประกอบกิจการ (จากกระทรวงสาธารณสุข) และต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น อย่าฉีดกับพนักงานหรือหมอกระเป๋าเด็ดขาด เพราะเสี่ยงฉีดผิดชั้น, เกิดผลข้างเคียง หรือหน้าเบี้ยวได้
  3. ไม่ควรฉีดถี่เกินไป ควรเว้นระยะห่าง 4–6 เดือน/ครั้ง หากฉีดถี่เกินไปอาจทำให้เกิดภาวะดื้อยา (Botox resistance)
  4. โบท็อกซ์ไม่ใช่การแก้ปัญหาถาวร แต่สามารถฉีดซ้ำได้อย่างปลอดภัย เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  5. ต้องซักประวัติสุขภาพก่อนฉีด ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น ระบบประสาท กล้ามเนื้อ หรือกำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรฉีด

สรุป

โบท็อกซ์ ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัย เห็นผลไว และสามารถปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย รวมถึงรักษาปัญหาทางการแพทย์บางอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเลือกใช้ตัวยาแท้ ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องทั้งก่อนและหลังฉีด ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานอย่างคุ้มค่า ดังนั้นก่อนตัดสินใจ หมอแนะนำให้เลือกคลินิกที่เชื่อถือได้ เพื่อความสวยที่มาพร้อมกับความปลอดภัยในระยะยาวครับ

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา