Smooth F[mH 1080X1920 4Smooth Cover Web Smooth 1177X1460 4

ฟิลเลอร์ คืออะไร? เติมตรงไหนได้บ้าง อยู่ได้นานแค่ไหน เลือกยี่ห้อไหนดี

หากคุณกำลังรู้สึกว่าใบหน้าดูเหนื่อยล้า มีร่องลึก ผิวดูแบน ขาดมิติ หรือรูปหน้าไม่สมส่วนเหมือนเดิม… ฟิลเลอร์ อาจเป็นคำตอบที่ช่วยคืนความสดใสและความมั่นใจให้คุณได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

บทความนี้ หมอจะพาคุณทำความเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ตั้งแต่หลักการทำงาน ตำแหน่งที่ฉีดได้ ยี่ห้อไหนดี อยู่ได้นานแค่ไหน ไปจนถึงวิธีดูแลตัวเองอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และได้ผลลัพธ์ที่สวยพอดีอย่างที่ต้องการครับ

สารบัญ hide

ฟิลเลอร์ คืออะไร?

ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารเติมเต็มที่แพทย์ผิวหนังและแพทย์ด้านความงามใช้ในการฉีดเข้าสู่ผิวหนัง เพื่อช่วยเติมเต็มในส่วนที่มีปัญหาหย่อนคล้อย ร่องลึก หรือขาดวอลลุ่ม เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ หรือแม้กระทั่งการปรับรูปหน้าให้ดูละมุนและอ่อนเยาว์มากขึ้น

โดยฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมและปลอดภัยที่สุดในปัจจุบันคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในร่างกายตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี และสามารถสลายได้เองโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง

ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

ในทางการแพทย์ ฟิลเลอร์สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท แต่ประเภทที่ใช้ในคลินิกความงามหลักๆ มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ

  • ฟิลเลอร์ HA (Hyaluronic Acid): เป็นฟิลเลอร์ที่นิยมมากที่สุด เพราะปลอดภัย สลายเองได้ตามธรรมชาติ และหากเกิดปัญหาก็สามารถฉีดยาสลาย (Hyaluronidase) ได้ทันที
  • ฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวรหรือถาวร: เช่น Calcium Hydroxylapatite หรือ Poly-L-lactic Acid แม้จะอยู่ได้นานกว่า แต่ไม่สามารถสลายได้ด้วยยา จึงมีความเสี่ยงสูงกว่าสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์

จากประสบการณ์ที่หมอดูแลคนไข้มาหลายเคส ฟิลเลอร์แบบ HA เป็นตัวเลือกที่หมอแนะนำมากที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้น หรืออยากได้ผลลัพธ์แบบธรรมชาติและปลอดภัย

ฟิลเลอร์ต่างจากโบท็อกซ์ยังไง?

หลายคนยังสับสนระหว่าง “ฟิลเลอร์” กับ “โบท็อกซ์” ซึ่งจริงๆ แล้วทำหน้าที่ต่างกันครับ

  • ฟิลเลอร์ = เติมเต็ม (เติมร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ดูมีวอลลุ่ม)
  • โบท็อกซ์ = ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ (ลดริ้วรอย, หน้าเรียวด้วยการลดกล้ามเนื้อกราม)

ดังนั้น หากคุณมีปัญหาร่องลึก หน้าตอบ หรือผิวดูโทรม หมอจะแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ก่อนครับ

ฟิลเลอร์ช่วยเติมตรงไหนได้บ้าง?

จริงๆ แล้ว “ฟิลเลอร์” ถือเป็นตัวช่วยที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก เพราะสามารถเติมได้หลายจุดบนใบหน้าและลำตัว โดยจุดประสงค์หลักคือการ เติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลลุ่ม และปรับรูปหน้าให้สมส่วน อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ในปัจจุบัน ได้แก่:

ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยลดร่องลึก ความหมองคล้ำ และอาการตาดูโทรม ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นทันที เหมาะมากกับคนที่พักผ่อนน้อย หรือมีเบ้าตาลึกตามกรรมพันธุ์

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

เติมเต็มร่องแก้มที่ลึกตามวัย ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น และลดภาพลักษณ์ความเหนื่อยล้า เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

ฟิลเลอร์ขมับ

คนที่มีปัญหาขมับตอบหรือขมับลึก จะทำให้หน้าดูแข็งและมีอายุ การเติมขมับช่วยปรับรูปหน้าให้ดูละมุนและสมดุลมากขึ้น

ฟิลเลอร์หน้าผาก

หน้าผากแบนหรือมีรอยยุบ สามารถเติมให้ดูโหนกนูนอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มมิติใบหน้า ทำให้หน้าหวานขึ้นได้ชัดเจน

ฟิลเลอร์คาง

ใช้ปรับรูปหน้าให้สมส่วน ใครที่มีคางสั้น คางตัด หรือรูปหน้าดูไม่ชัดเจน การเติมฟิลเลอร์คางสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

ฟิลเลอร์ปาก

เติมวอลลุ่มให้ปากอวบอิ่ม หรือปรับทรงให้ปากมีความสมดุลและเป็นธรรมชาติ เช่น ทรงปากกระจับหรือปากสายฝอ

ฟิลเลอร์จมูก

แม้ไม่สามารถแทนการศัลยกรรมได้ 100% แต่ฟิลเลอร์ช่วยปรับรูปจมูกให้ดูโด่งเรียว มีสันชัดเจนขึ้นได้ เหมาะกับคนที่ไม่อยากผ่าตัด

ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก / ร่องตีนกา

ลดความลึกของริ้วรอยที่แสดงอายุโดยเฉพาะบริเวณร่องน้ำหมาก รอยย่นตรงมุมปาก และรอบดวงตา

ฟิลเลอร์หลังมือ

เติมเต็มหลังมือที่ผิวบาง เห็นเส้นเลือดชัด ให้กลับมาดูอิ่มฟูและอ่อนเยาว์ขึ้น เป็นอีกจุดที่หลายคนเริ่มให้ความสนใจในช่วงวัย 40+

ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี? เหมาะกับบริเวณไหน?

การเลือก ฟิลเลอร์ ให้เหมาะกับแต่ละตำแหน่งบนใบหน้า ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ราคา” หรือ “ยี่ห้อดัง” เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาจาก “เนื้อฟิลเลอร์” ว่าเหมาะกับบริเวณที่ฉีดหรือไม่ และความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโครงหน้าของคนไข้แต่ละคน

Juvederm® (อเมริกา)

  • คุณสมบัติ: เนื้อฟิลเลอร์นุ่มลื่น ให้ผลลัพธ์เนียนเรียบ ชุ่มน้ำดีมาก อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
  • รุ่นยอดนิยม:
    • Voluma: เนื้อแข็งเล็กน้อย เหมาะกับโหนกแก้ม ขมับ คาง
    • Volift: เนื้อกลางๆ ใช้กับร่องแก้ม ขอบปาก
    • Volbella: เนื้อนิ่มพิเศษ เหมาะสำหรับใต้ตา ปาก ร่องเล็กๆ
  • เหมาะกับ: ใต้ตา แก้มส้ม ร่องแก้ม คาง ขมับ หน้าผาก ปาก

Restylane® (สวีเดน)

  • คุณสมบัติ: เนื้อฟิลเลอร์ละเอียด คงตัวได้ดี เหมาะกับการขึ้นรูปแบบละเอียด
    รุ่นยอดนิยม:
    • Lyft: เหมาะกับจุดที่ต้องการการยกกระชับ เช่น โหนกแก้ม คาง
    • Defyne/Refyne: เนื้อนิ่มปานกลาง เหมาะกับร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
    • Vital: ฟื้นฟูผิว เติมน้ำ เหมาะกับผิวแห้งหรือริ้วรอยตื้นๆ
  •  เหมาะกับ: ใต้ตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ปาก แก้ม หน้าผาก

Belotero® (เยอรมัน)

  • คุณสมบัติ: เนื้อนิ่มละเอียดมาก ฟูเป็นธรรมชาติ ซึมเข้าผิวได้ดี
  • รุ่นยอดนิยม:Soft / Balance / Intense: แยกตามความแน่นของเนื้อ เหมาะกับตำแหน่งผิวบาง เช่น ใต้ตา ร่องลึกเล็ก
  • เหมาะกับ: ใต้ตา ร่องแก้ม ปาก รอยตีนกา

Neuramis® (เกาหลี)

  • คุณสมบัติ: ฟิลเลอร์เกาหลีคุณภาพดี ราคาย่อมเยา เหมาะกับผู้เริ่มต้น
  • รุ่นยอดนิยม: Deep / Volume: เหมาะกับคาง แก้ม ขมับ ร่องลึก
  • เหมาะกับ: แก้ม คาง ร่องแก้ม ปาก (ต้องใช้กับแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อควบคุมผลลัพธ์ให้แม่นยำ)

Revolax®, Dermalax®, E.P.T.Q. (ฟิลเลอร์เกาหลีอื่นๆ)

  • คุณสมบัติ: ราคาประหยัด นิยมในกลุ่มเริ่มต้น มีหลายรุ่นตามความแน่นของเนื้อ
  • เหมาะกับ: เติมแก้ม คาง ร่องแก้มแบบเบาๆ (ระยะเวลาคงอยู่ประมาณ 6-8 เดือน)

ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?

ระยะเวลาของฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การดูแลตัวเอง การใช้ชีวิตประจำวัน ฯลฯ ซึ่งแตกต่างกันออกไป โดยค่าเฉลี่ยแต่ยี่ห้อจะมีระยะเวลาโดยประมาณดังนี้

ยี่ห้อฟิลเลอร์อายุเฉลี่ยที่อยู่ได้
Juvederm® Voluma12 – 18 เดือน
Juvederm® Volift12 เดือน
Juvederm® Volbella9 – 12 เดือน
Restylane® Lyft10 – 14 เดือน
Restylane® Vital6 – 9 เดือน (ใช้ฟื้นฟูผิว)
Belotero® Soft6 – 9 เดือน
Neuramis® Deep/Volume6 – 9 เดือน
ฟิลเลอร์เกาหลีทั่วไป4 – 8 เดือน (ขึ้นกับเนื้อและแบรนด์)

ข้อมูลนี้เป็นค่าเฉลี่ยจาก Clinical Studies และประสบการณ์จริงของแพทย์ในคลินิกครับ

ปัจจัยที่มีผลต่ออายุของฟิลเลอร์

  1. ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นมีความหนาแน่นของโมเลกุลไม่เท่ากัน ซึ่งส่งผลโดยตรงกับความทน
  2. ตำแหน่งที่ฉีด บริเวณที่ “ขยับบ่อย” เช่น ปาก ร่องแก้ม ฟิลเลอร์จะสลายเร็วกว่าบริเวณนิ่งๆ อย่าง ขมับ คาง ใต้ตา ฟิลเลอร์มักอยู่ได้นานกว่าจุดอื่น เพราะไม่ขยับมาก
  3. การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การออกกำลังกายหนัก, ทำทรีตเมนต์ความร้อน, หรือพฤติกรรมที่ทำให้เผาผลาญไว จะเร่งการสลายตัวของฟิลเลอร์
  4. การดูแลหลังฉีด หลีกเลี่ยงความร้อนจัด นวดแรง หรือดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 48 ชั่วโมงแรก จะช่วยยืดอายุของฟิลเลอร์ได้ดี

ถึงแม้ฟิลเลอร์จะสลายไปเอง แต่บางคนอาจเลือกเติมซ้ำก่อนที่ฟิลเลอร์จะหมด 100% เพื่อคงผลลัพธ์ให้สวยเนียนต่อเนื่อง ซึ่งการเติมซ้ำในปริมาณน้อยและถูกจังหวะ จะช่วยให้รูปหน้าดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น และไม่ต้องเติมเยอะในคราวเดียว

เลือกฟิลเลอร์ยังไงให้เหมาะกับปัญหาของตัวเอง?

การเลือก ฟิลเลอร์ ที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ “อยากฉีดตรงไหน” เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาจาก

  • ปัญหาเฉพาะของแต่ละคน
  • ลักษณะเนื้อฟิลเลอร์ (นิ่ม-แน่น-ยืดหยุ่น)
  • ตำแหน่งที่ต้องการฉีด
  • คาดหวังผลลัพธ์แบบไหน

เพราะแต่ละจุดบนใบหน้ามี "โครงสร้างผิว" ที่ต่างกัน ฟิลเลอร์ที่เหมาะกับใต้ตาอาจไม่เหมาะกับคาง หรือฟิลเลอร์ที่อยู่ได้นานในขมับ อาจทำให้ปากดูแข็งไม่เป็นธรรมชาติครับ

ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม: สำหรับผิวบาง จุดเสี่ยงสูง

  • เหมาะกับ: ใต้ตา, ริมฝีปาก, หน้าผาก, รอยตีนกา
  • คุณสมบัติ: กระจายตัวได้ดี เนียน ไม่เป็นก้อน
  • แนะนำฟิลเลอร์: Juvederm Volbella, Belotero Soft, Restylane Vital / Kysse

ฟิลเลอร์เนื้อกลาง: สำหรับร่องลึกทั่วไป

  • เหมาะกับ: ร่องแก้ม, ร่องน้ำหมาก, มุมปาก
  • คุณสมบัติ: คงรูปได้ดี ขยับตามการแสดงสีหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ตัวอย่างฟิลเลอร์: Juvederm Volift, Restylane Refyne/Defyne, Neuramis Deep

ฟิลเลอร์เนื้อแน่น: สำหรับปรับโครงหน้า

  • เหมาะกับ: คาง, ขมับ, โหนกแก้ม, กรอบหน้า
  • คุณสมบัติ: ให้มิติชัดเจน ยกกระชับ อยู่ได้นาน
  • ตัวอย่างฟิลเลอร์: Juvederm Voluma, Restylane Lyft, Neuramis Volume

กรณีปัญหาเฉพาะจุด

ปัญหาบริเวณที่แนะนำประเภทฟิลเลอร์
ใต้ตาคล้ำลึกใต้ตาเนื้อนิ่มพิเศษ (Belotero Soft, Volbella)
หน้าตอบขมับเนื้อแน่น (Voluma, Lyft)
คางสั้น หน้าไม่เรียวคางเนื้อแน่น (Voluma, Neuramis Volume)
ร่องลึก แก้มแบนร่องแก้ม แก้มส้มเนื้อกลาง (Volift, Refyne)
ปากบาง ปากแห้งริมฝีปากเนื้อนิ่ม (Volbella, Kysse)
หน้าผากแบนหน้าผากเนื้อนิ่มพิเศษ (Restylane Vital, Belotero)

อย่าเลือกฟิลเลอร์จาก “โปรโมชัน” หรือ “ยี่ห้อเดียวฉีดทั่วหน้า” เพราะแต่ละตำแหน่งต้องใช้ฟิลเลอร์ที่ “ตรงชนิด” ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยครับ หมอจะเป็นคนวางแผนให้คุณเหมาะกับแต่ละตำแหน่งโดยเฉพาะ เพื่อให้ผลออกมา “เป็นธรรมชาติแบบที่คุณอยากได้จริงๆ”

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

จริงๆ แล้ว การฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่เรื่องของ "อายุ" เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของปัญหาบนใบหน้า และความคาดหวังของคนไข้ มากกว่า

  1. คนที่เริ่มมี “ริ้วรอย” หรือ “ร่องลึก” บนใบหน้า หากคุณเริ่มสังเกตเห็น ร่องลึกเล็กๆ ใต้ตา ร่องแก้ม หรือผิวหน้าเริ่มขาดความชุ่มชื้น อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการเติมฟิลเลอร์ เพื่อ ชะลอการยุบตัวของผิว และรักษาความอ่อนเยาว์ไว้ได้นานขึ้น
  2. คนที่มีปัญหาโครงหน้าไม่สมดุลมาตั้งแต่กำเนิด บางคนไม่ได้มีริ้วรอย แต่รู้สึกว่ารูปหน้าดูไม่สมดุล เช่น หน้าผากแบน คางสั้น ขมับตอบ ฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลขึ้นได้ โดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม
  3. คนที่ต้องการเปลี่ยนลุคอย่างเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการ “ปรับลุค” โดยยังคงความเป็นตัวเอง เช่น เติมปากให้ดูอวบอิ่ม เติมคางให้หน้าดูเรียวขึ้น หรือเติมแก้มให้หน้าดูหวานขึ้น โดยไม่ดูโป๊ะหรือเวอร์เกินจริง
  4. คนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ไม่อยากพักฟื้น หัตถการนี้ตอบโจทย์สำหรับคนที่ไม่มีเวลาพักฟื้น เช่น คนทำงานที่ต้องพบลูกค้าตลอดเวลา หรือคุณแม่ที่มีเวลาจำกัด เพราะหลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเห็นผลได้ทันที
  5. คนที่ต้องใช้หน้าตาในการทำงาน กลุ่มอาชีพที่ต้องพึ่งบุคลิกภาพ เช่น พิธีกร นักแสดง เซลล์ โค้ช หรือที่ปรึกษา มักเลือกใช้ฟิลเลอร์เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับใบหน้า โดยไม่ต้องแต่งหน้าเยอะหรือเปลี่ยนโครงหน้าจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
  6. คนที่ต้องการแก้ไขผลลัพธ์จากหัตถการเดิม บางคนเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนแล้วรู้สึกว่าใบหน้าเปลี่ยนไป หรือไม่ชอบผลลัพธ์เดิม การกลับมาวางแผนใหม่กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วย “แก้ไข” และ “ปรับรูปหน้า” ให้คืนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง

ฟิลเลอร์ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

  1. ฟื้นฟูวอลลุ่มที่หายไปจากการยุบตัวของไขมันบนใบหน้า เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันบนใบหน้าจะค่อยๆ ยุบตัวลง โดยเฉพาะบริเวณแก้ม ขมับ ใต้ตา ซึ่งทำให้ใบหน้าดูโทรมและมีอายุ ฟิลเลอร์ช่วยคืนความอิ่มฟูให้ผิวหน้ากลับมาดูเด็กและสดใสได้ทันที
  2. เติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือริ้วรอยรอบดวงตา ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มให้ผิวบริเวณนั้นดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียนขึ้นโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม
  3. ปรับมิติใบหน้าให้ดูสมดุลและละมุนขึ้น ฟิลเลอร์ช่วยสร้างความสมดุลของใบหน้า เช่น การเติมคางให้ใบหน้าดูเรียวยาว หรือเติมหน้าผากให้หน้าดูหวานขึ้น รวมถึงปรับจุดเล็กๆ เช่น ขอบปากหรือแนวกรอบหน้าให้ดูชัดและละมุนขึ้น
  4. แก้ปัญหาแสงเงาบนใบหน้าที่ทำให้ดูโทรม บางจุดบนใบหน้าเมื่อยุบตัวลงจะเกิดเงาที่ทำให้หน้าดูเหนื่อยล้า เช่น เงาใต้ตา ร่องแก้ม หรือขมับตอบ ฟิลเลอร์ช่วยเติมให้แสงกระจายบนใบหน้าได้ดีขึ้น ทำให้หน้าดูสดใสขึ้นแม้ไม่ได้แต่งหน้า
  5. เสริมความมั่นใจ เพิ่มความน่าดึงดูด ฟิลเลอร์ช่วยให้คนไข้หลายคนรู้สึกมั่นใจขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าสังคม การทำงาน หรือการถ่ายรูป โดยที่ยังดูเป็นธรรมชาติ และยังคงเป็นตัวของตัวเอง
  6. ลดความจำเป็นในการแต่งหน้า เมื่อใบหน้าดูฟู มีวอลลุ่มและสมดุลขึ้นตามธรรมชาติ คนไข้จำนวนมากสามารถแต่งหน้าน้อยลง หรือไม่ต้องใช้เทคนิค shading / contour หนักๆ อีกต่อไป เพราะโครงหน้าดูดีตั้งแต่พื้นฐานแล้ว

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องเตรียมตัวยังไง?

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความแม่นยำสูง และมีความเกี่ยวข้องกับเส้นเลือดบนใบหน้าโดยตรง ดังนั้น การเตรียมตัวก่อนทำจึงสำคัญมาก หมอขอแนะนำข้อปฏิบัติที่ควรทำล่วงหน้าเ

  1. ศึกษาและเลือกสถานพยาบาลในการฉีดฟิลเลอร์ที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ มีเลขที่จดแจ้งชัดเจน
  2. งดทานยาในกลุ่ม NSAIDs และอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรงดก่อนทำอย่างน้อย 3 – 7 วัน ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) วิตามินอี (Vitamin E), น้ำมันปลา (Fish Oil), โสม, กระเทียมสกัด, ใบแปะก๊วย เพราะสารเหล่านี้จะทำให้เลือดแข็งตัวช้า เพิ่มความเสี่ยงต่อการฟกช้ำหรือเลือดคั่งหลังฉีดครับ
  3. งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนทำ แอลกอฮอล์จะขยายหลอดเลือดและรบกวนระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจทำให้ บวม ช้ำ หรือเสี่ยงเลือดออกใต้ผิวหนัง ได้ง่ายกว่าปกติ
  4. งดทรีตเมนต์ผิวแรงๆ ก่อนทำ เลี่ยงการทำเลเซอร์, HIFU, RF, IPL, Chemical Peel หรือทรีตเมนต์ที่รบกวนผิวหน้าลึกๆ อย่างน้อย 3 – 5 วันก่อนฉีด เพื่อให้ผิวแข็งแรง พร้อมรับฟิลเลอร์ได้เต็มที่ และลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายต้องพร้อม มคนไข้ที่นอนน้อย หรือกำลังไม่สบาย อาจมีภูมิต้านทานต่ำ ทำให้ บวมง่าย ฟื้นตัวช้า หรือเสี่ยงติดเชื้อ ได้ง่ายกว่าปกติ  หมอแนะนำให้นอนพักให้เต็มที่อย่างน้อย 1 คืนก่อนวันฉีดครับ
  6. งดแต่งหน้าหรือทาครีมในวันที่นัดทำ เพื่อความสะอาดและปลอดภัยสูงสุด ควรมาด้วยใบหน้าสะอาด ไม่ควรทารองพื้น กันแดด หรือครีมบำรุงหนาๆ เพราะอาจปนเปื้อนในจุดที่ฉีด และเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้หากทาครีมหรือแต่งหน้ามา ควรแจ้งให้หมอคลีนหน้าก่อนฉีด

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์เป็นยังไง?

  1. ประเมินใบหน้าอย่างละเอียดก่อนทำ แพทย์จะประเมินลักษณะโครงหน้า ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และสภาพผิว วางแผนว่า ควรฉีดจุดไหนบ้าง ใช้ปริมาณกี่ cc เหมาะกับฟิลเลอร์รุ่นไหน และจะอธิบายผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เวอร์จนเกินจริง หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำหัตถการ
  2. ทำความสะอาดผิวหน้าและแปะยาชา เจ้าหน้าที่จะล้างหน้าและแปะยาชาให้ทั่วบริเวณที่จะฉีด โดยใช้เวลาประมาณ 30–45 นาที ยาชาช่วยลดความรู้สึกเจ็บ ทำให้คนไข้รู้สึกสบายระหว่างทำ
  3. ฉีดฟิลเลอร์: ระหว่างฉีดจะรู้สึกเพียงแรงกดเล็กน้อย โดยทั่วไป ใช้เวลาฉีด 10 – 30 นาที/ตำแหน่ง แล้วแต่ความซับซ้อน
  4. เช็กความสมดุลและเกลี่ยฟิลเลอร์ หลังฉีดเสร็จ แพทย์จะปรับเล็กน้อยหากจำเป็น เช่น ตรวจดูความสมมาตรของใบหน้า นวดเบาๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวเรียบเนียน
  5. ถ่ายภาพ Before – After และนัดติดตามผล คลินิกส่วนใหญ่จะมีการถ่ายภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังฉีด บางกรณีแพทย์อาจนัดติดตามผลใน 1–2 สัปดาห์ เพื่อประเมินผลลัพธ์ หรือเติมเพิ่มหากจำเป็น

หลังฉีดฟิลเลอร์ ดูแลตัวเองยังไง?

แม้การฉีดฟิลเลอร์จะไม่ต้องพักฟื้น แต่การดูแลตัวเองในช่วง 24–72 ชั่วโมงแรก ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่เนื้อฟิลเลอร์กำลังเซ็ตตัว หากดูแลไม่ถูกต้อง อาจเกิดอาการบวม ช้ำ หรือผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่ต้องการ

สิ่งที่ควรทำหลังฉีดฟิลเลอร์

  1. ประคบเย็นเบาๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก และดื่มน้ำใบบัวบก หรือน้ำฟักทองได้ เพื่อช่วยลดอาการบวมแดง และลดการอักเสบเล็กน้อยหลังทำ
  2. ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ โดยเฉพาะหากฉีดฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid เพราะสารชนิดนี้สามารถดูดซับน้ำและพองตัวได้ดี การดื่มน้ำจะช่วยให้ผิวดูฟูมากขึ้น
  3. นอนหัวสูงในคืนแรก ช่วยลดอาการบวมและป้องกันการกดทับฟิลเลอร์โดยไม่รู้ตัว
  4. กลับมาพบแพทย์ตามนัด (ถ้ามี) เพื่อประเมินผลลัพธ์ และเติมเพิ่มหากจำเป็นในบางตำแหน่ง

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์

  1. อย่าแตะหรือนวดแรงบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนหรือผิดตำแหน่งได้
  2. งดการทำเลเซอร์ / RF / HIFU / ซาวน่า / โยคะร้อน อย่างน้อย 7 วัน เนื่องจากความร้อนอาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
  3. งดออกกำลังกายหนัก 24–48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการขยายตัวของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้ช้ำมากขึ้น
  4. งดการดื่มแอลกอฮอล์และของหมักดอง 2-3 วันหลังฉีดฟิลเลอร์
  5. งดกดนวดหน้า นอนคว่ำ หรือเอาหน้าแนบหมอน อย่างน้อย 3–5 วัน เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวสมบูรณ์
  6. งดการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าหลังจากฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง

อาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อยใน 1–3 วันแรกถือเป็นเรื่องปกติครับ แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก กดแล้วเจ็บมาก ผิวซีดหรือม่วง แนะนำให้รีบติดต่อคลินิกหรือพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการดูแลเฉพาะทาง

ฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่?

ราคาฟิลเลอร์ในคลินิกเสริมความงามจะแตกต่างกันไปตาม ยี่ห้อ, รุ่น, ปริมาณที่ใช้, และตำแหน่งที่ฉีด โดยทั่วไปจะคิดเป็น “ราคาต่อ 1 ซีซี (cc)”

ยี่ห้อฟิลเลอร์ราคาโดยประมาณ (ต่อ 1 cc)
Juvederm (USA)13,000 – 18,000 บาท
Restylane (Sweden)12,000 – 16,000 บาท
Belotero (Germany)11,000 – 15,000 บาท
Neuramis (Korea)7,000 – 9,000 บาท
Dermalax / E.P.T.Q.5,000 – 8,000 บาท

ราคานี้เป็นเรตราคาโดยเฉลี่ยจากคลินิกมาตรฐานในไทย ซึ่งอาจปรับขึ้น-ลงตามโปรโมชั่นหรือเทคนิคที่ใช้

ปริมาณที่ใช้ต่อจุดฉีดยอดนิยม (ประมาณการเบื้องต้น)

  • ใต้ตา: 1–2 cc
  • ร่องแก้ม: 1–2 cc
  • คาง: 1–2 cc
  • ขมับ: 2–3 cc
  • ปาก: 1–1.5 cc
  • หน้าผาก: 2–4 cc

บางจุดอาจต้องใช้หลาย cc เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุล เช่น ขมับหรือหน้าผาก

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาฟิลเลอร์

  1. ยี่ห้อและประเทศผู้ผลิต: ฟิลเลอร์ยุโรป-อเมริกา ราคาสูงกว่าฟิลเลอร์เกาหลี แต่มีงานวิจัยรองรับมากกว่า
  2. ตำแหน่งที่ฉีด: จุดเสี่ยงสูง เช่น ใต้ตา หรือจุดที่ต้องการความแม่นยำสูง ราคาจะสูงขึ้นตามเทคนิค
  3. ประสบการณ์ของแพทย์: หมอเฉพาะทางด้านปรับรูปหน้ามักคิดค่าบริการสูงกว่าทั่วไป
  4. เทคนิคและเครื่องมือที่ใช้: การใช้เข็มทู่, การประเมินด้วย Face Design หรือการใช้ Ultrasound นำทางอาจเพิ่มค่าใช้จ่าย
  5. โปรโมชั่น/แพ็กเกจ ในแต่ละคลินิก

ฟิลเลอร์อันตรายไหม?

คำถามนี้เจอบ่อยมากครับ โดยเฉพาะกับคนที่ยังไม่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อน ซึ่งหมอเข้าใจเลยครับว่าหลายคนกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” หรือ “จะเกิดผลข้างเคียงไหม?”

จริงๆ แล้ว ฟิลเลอร์ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยสูงมาก หากทำโดยแพทย์เฉพาะทาง และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. อย่างไรก็ตามก็ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้างถ้าไม่ได้ดูแลอย่างถูกวิธี

ความปลอดภัยของฟิลเลอร์อยู่ที่อะไร?

  1. ยี่ห้อฟิลเลอร์ ต้องใช้ฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) ที่ได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น เช่น Juvederm, Restylane, Belotero ฟิลเลอร์กลุ่มนี้สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และมี “เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส” ช่วยละลายได้หากเกิดปัญหา
  2. เทคนิคการฉีดของแพทย์ ถ้าแพทย์เข้าใจโครงสร้างใบหน้าและตำแหน่งของเส้นเลือด จะสามารถหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง และใช้เทคนิคที่ลดความเจ็บ บวม ช้ำ ได้อย่างแม่นยำ
  3. ความสะอาดและความเป็นระบบของคลินิก คลินิกต้องได้มาตรฐาน ใช้เข็มใหม่ทุกครั้ง อุปกรณ์ปลอดเชื้อ และมีระบบติดตามผลหลังฉีด

อะไรคือความเสี่ยงถ้าทำโดยไม่ระวัง?

  • ฟิลเลอร์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน: อาจทำให้เกิดการอักเสบ เป็นก้อน หรือไม่สามารถย่อยสลายได้
  • ฉีดโดยหมอที่ไม่ชำนาญ หรือหมอกระเป๋า: เสี่ยงต่อการฉีดผิดชั้นผิว หรือฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ผิวเนื้อตาย (Necrosis) หรือในกรณีที่รุนแรงอาจถึงขั้นตาบอด
  • ขาดการดูแลหลังทำที่ถูกต้อง: เช่น ไปทำเลเซอร์ซ้ำ หรือกดนวดแรงเกิน อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือเกิดผลลัพธ์ผิดรูปได้

ผลข้างเคียงของฟิลเลอร์มีกี่แบบ?

ผลข้างเคียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ อาการทั่วไป (ปกติ) กับ อาการไม่ปกติ (ภาวะแทรกซ้อน)

  1. อาการทั่วไปหลังฉีดฟิลเลอร์ (พบได้บ่อย และหายได้เอง) อาการเหล่านี้มักจะหายได้เองใน 2–7 วัน และไม่ถือว่าอันตรายครับ เช่น
    • บวมแดง บริเวณที่ฉีด (มักบวมที่สุดใน 24 ชั่วโมงแรก)
    • ช้ำหรือเขียว จากรอยเข็มเล็กๆ
    • เจ็บหรือระบมเล็กน้อย คล้ายเจ็บเมื่อโดนกดจุด
    • ผิวไม่เรียบ / เป็นก้อนเล็กๆ ใน 1–2 วันแรก ซึ่งมักจะค่อยๆ เนียนเองเมื่อฟิลเลอร์เซ็ตตัว
    • การดูแลหลังฉีด เพื่อช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้นไว เช่น การประคบเย็น หรือหลีกเลี่ยงการกดนวดแรงๆ
  1. อาการผิดปกติ (ภาวะแทรกซ้อน) หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของ ภาวะฉีดผิดชั้น หรือเกิดปัญหากับเส้นเลือด ได้แก่
    • เจ็บปวดรุนแรงผิดปกติ และปวดต่อเนื่อง
    • ผิวซีด หรือเปลี่ยนสีเป็นม่วงคล้ำ/ดำ ซึ่งอาจบ่งบอกว่าเส้นเลือดถูกอุดตัน
    • รู้สึกชาบริเวณที่ฉีด
    • ตาพร่ามัว มองเห็นผิดปกติ หรือปวดตาเฉียบพลัน (พบได้น้อยมาก แต่เป็นภาวะฉุกเฉิน)
    • มีหนองหรือผิวหนังบริเวณฉีดอักเสบแดงร้อน

อาการเหล่านี้หากรักษาทันทีมีโอกาสฟื้นกลับมาได้ดี แต่ถ้าปล่อยไว้อาจเกิดผลข้างเคียงระยะยาว เช่น ผิวตาย เส้นเลือดเสียหาย หรือทิ้งรอยแผลถาวรได้ครับ

วิธีป้องกันหรือจัดการกับผลข้างเคียง

การเตรียมตัวก่อนทำ การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด ล้วนมีผลต่อโอกาสในการเกิดผลข้างเคียง หมอจึงสรุปแนวทางทั้งในเชิง การป้องกันก่อนทำ และ การแก้ไขเมื่อมีอาการ

วิธีป้องกันผลข้างเคียงก่อนฉีด

  1. เลือกฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. เท่านั้น ควรเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถสลายได้ และมีเอกสารกำกับชัดเจน
  2. ฉีดกับแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ แพทย์ที่เข้าใจโครงสร้างใบหน้า จะสามารถหลีกเลี่ยงเส้นเลือดและชั้นผิวที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้อย่างแม่นยำ
  3. งดทานยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดหยุดยากก่อนทำ เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา, แอสไพริน เพื่อป้องกันการช้ำง่าย
  4. ตรวจสอบคลินิกให้ได้มาตรฐาน ใช้เข็มใหม่ อุปกรณ์ปลอดเชื้อ และมีระบบช่วยเหลือหากเกิดภาวะฉุกเฉิน

วิธีจัดการเมื่อเกิดอาการข้างเคียงเล็กน้อย

  • บวม ช้ำ แดง ประคบเย็นเบาๆ ใน 24–48 ชม. แรก และงดการกดหรือแตะจุดที่ฉีด ส่วนใหญ่จะหายเองใน 3–7 วัน
  • คลำเจอก้อนเล็กๆ / ผิวไม่เรียบ อย่านวดเอง ควรให้แพทย์ประเมินก่อน เพราะบางจุดอาจต้องปล่อยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวเอง

วิธีจัดการเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น ผิวซีด เจ็บมาก ผิวม่วงคล้ำ หรือมีอาการทางสายตา ต้องรีบพบแพทย์ทันที แนวทางการแก้ไขอาการเบื้องต้นมีดังนี้

  1. ใช้ Hyaluronidase เป็นเอนไซม์สลายฟิลเลอร์ชนิด HA ซึ่งสามารถทำให้ฟิลเลอร์ละลายทันที
  2. ให้ยาขยายหลอดเลือด / ลดอักเสบเฉพาะกรณี เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อตายหรือเส้นเลือดอุดตั
  3. ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด อาจนัดตรวจซ้ำใน 24–48 ชม. เพื่อประเมินว่าปลอดภัยดีหรือยัง

ฟิลเลอร์เห็นผลเมื่อไหร่? ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?

ฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็วมาก โดยเฉพาะถ้าใช้ฟิลเลอร์แท้ชนิด Hyaluronic Acid (HA) ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งถูกออกแบบมาให้เข้ากับเนื้อเยื่อผิวและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์เห็นผลเมื่อไหร่?

  • เห็นผลทันทีหลังฉีดเสร็จ ใบหน้าจะดูเต็มขึ้น ชัดเจนขึ้นในจุดที่เติม แต่ยังอาจมีอาการบวมเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติ
  • ผลลัพธ์ที่แท้จริงจะชัดเจนใน 5 – 14 วัน หลังอาการบวมลดลง และฟิลเลอร์เริ่มเซ็ตตัวเข้ากับผิวดีขึ้น
  • บางกรณีอาจนัดประเมินผลและปรับเติมในสัปดาห์ที่ 2 เพื่อให้ผลลัพธ์สมดุลที่สุด

ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?

ความถี่ในการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ เช่น ยี่ห้อที่ใช้ ตำแหน่งที่ฉีด และลักษณะผิวของแต่ละคน

ยี่ห้อฟิลเลอร์ระยะเวลาที่อยู่ได้โดยเฉลี่ย
Juvederm Voluma12 – 18 เดือน
Restylane Lyft10 – 14 เดือน
Belotero Soft6 – 9 เดือน
Neuramis / Dermalax6 – 9 เดือน

หากเป็นบริเวณที่ขยับบ่อย เช่น ปาก ร่องแก้ม ฟิลเลอร์จะสลายเร็วกว่าจุดที่นิ่ง เช่น ขมับ คาง ใต้ตา

แล้วควรเติมซ้ำเมื่อไหร่?

แนะนำให้กลับมาตรวจประเมินก่อนที่ฟิลเลอร์จะสลายหมด เพื่อให้ผลลัพธ์ยังคงสวยอย่างต่อเนื่อง และไม่ต้องเติมในปริมาณมากซ้ำอีกครั้ง เช่น

  • เติมซ้ำบางส่วนทุก 8 – 12 เดือน
  • หากฉีดเพื่อปรับรูปหน้า แนะนำให้วางแผนระยะยาวร่วมกับแพทย์ อาจแบ่งเติมบางส่วนปีละ 1–2 ครั้ง แทนการฉีดครั้งเดียวในปริมาณมาก

ฟิลเลอร์ของแท้ดูยังไง?

ฟิลเลอร์ของแท้” ไม่จำเป็นต้องแพงที่สุด แต่ต้องมีแหล่งที่มาชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ เทคนิคการเช็กฟิลเลอร์ของแท้แบบง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้

เช็กจากกล่องฟิลเลอร์ก่อนฉีด

  1. ต้องมีฉลากภาษาไทย และขึ้นทะเบียน อย. อย่างถูกต้อง ดูเลขทะเบียน อย. (ขึ้นต้นด้วย "ว" หรือ "อย.") ต้องมีข้อมูลผู้นำเข้าและชื่อบริษัทที่ชัดเจน
  2. มี Serial Number และ Lot Number ตรงกันทั้งกล่องและหลอดยา ตัวเลขควรพิมพ์ชัดเจน ไม่หลุดลอก
  3. มี QR Code หรือสติกเกอร์ป้องกันการปลอมแปลง บางยี่ห้อสามารถสแกนเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้ทันที
  4. กล่องต้องปิดผนึกแน่นหนา ไม่บุบ ไม่เปิดก่อน คลินิกควรแกะกล่องต่อหน้าคนไข้ทุกครั้ง

สังเกตลักษณะของผลิตภัณฑ์

  • หลอดฟิลเลอร์ต้องเป็นวัสดุใส มองเห็นเนื้อเจลข้างใน
  • มีฉลากกำกับยี่ห้อ รุ่น และ Serial Number ตรงกับกล่อง
  • บรรจุในแพ็กสูญญากาศ (Sterile Packaging)

คำถามที่ควรถามก่อนฉีด

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร?
  • ขอเห็นกล่องจริงก่อนฉีดได้ไหม?
  • มีใบรับรองหรือบันทึกข้อมูลล็อตผลิตภัณฑ์หรือไม่?
  • ฉีดกับแพทย์จริงใช่ไหม?
  •  

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมถ่ายรูปกล่อง + Serial Number เก็บไว้ทุกครั้งที่ฉีดด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัยในระยะยาว

สรุปฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มที่ช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติและไม่ตกค้างในร่างกาย เป็นหัตถการยอดนิยมสำหรับคลินิกความงาม เห็นผลทันทีหลังทำโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับทั้งผู้ที่เริ่มมีริ้วรอย ไปจนถึงผู้ที่ต้องการปรับจุดเล็กๆ บนใบหน้าให้สมดุลมากขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน สามารถปรับรูปหน้าได้หลายบริเวณ ให้ความเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัยสูง ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำให้รู้จักเกี่ยวกับฟิลเลอร์กันครับว่าฟิลเลอร์คืออะไร

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา