ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิว ยกกระชับใบหน้า และเติมเต็มร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่าตัด Radiesse Plus อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ หัตถการนี้ไม่ใช่แค่ฟิลเลอร์ธรรมดา แต่เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวอย่างแท้จริง ให้ผลลัพธ์ที่ดูสวยนุ่มนวลและยั่งยืน
ในบทความนี้ หมอจะพาคุณทำความรู้จักกับ Radiesse Plus อย่างละเอียด ทั้งเรื่องของส่วนประกอบ ผลลัพธ์ ข้อดี และความแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ
Radiesse Plus คืออะไร?
Radiesse Plus คือฟิลเลอร์ชนิดพิเศษ ที่นอกจากช่วยเติมเต็มร่องลึกแล้ว ยังมีคุณสมบัติเด่นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป พร้อมลดความเจ็บขณะฉีด เพราะมีส่วนผสมของ Lidocaine หรือยาชาชนิดเดียวกับที่ใช้ในการทำฟัน ทำให้ระหว่างทำรู้สึกสบายกว่าฟิลเลอร์รุ่นเก่าๆ
สารประกอบหลักใน Radiesse Plus คือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ปลอดภัย ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยอนุภาค CaHA จะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และมีโครงสร้างดีขึ้นแม้หลังฟิลเลอร์สลายไปแล้ว
จุดเด่นที่ทำให้ Radiesse Plus แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป
ให้ผลยาวนานถึง 12-24 เดือน โดยไม่ต้องเติมบ่อย
ช่วยฟื้นฟูผิวลึกถึงชั้นโครงสร้าง ไม่ใช่แค่เติมเต็มผิว
ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและค่อยๆ ดีขึ้นตามเวลา
มี Lidocaine ในตัว ลดความเจ็บและไม่ต้องพึ่งยาชาแยก
ใช้ในบริเวณไหนได้บ้าง?
เติมเต็มร่องแก้ม คาง ขมับ
ยกกระชับกรอบหน้าและลำคอ
ฟื้นฟูผิวบริเวณมือ แขน หรือบริเวณอื่นที่มีผิวบาง
Radiesse Plus ต่างจาก Radiesse ปกติยังไง?
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ “Radiesse” มาก่อน และเริ่มสงสัยว่า Radiesse Plus ต่างจากตัวเดิมอย่างไร? ความจริงแล้วทั้งสองรุ่นใช้สารประกอบหลักเดียวกันคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ “ความสะดวกในการรักษา” และ “ประสบการณ์ของผู้รับบริการ”
จุดที่เหมือนกัน
ใช้สาร CaHA ที่ปลอดภัยและย่อยสลายได้เอง
เหมาะสำหรับการฟื้นฟูและยกกระชับผิว
ให้ผลลัพธ์นานกว่าฟิลเลอร์แบบ HA (Hyaluronic Acid)
กระตุ้นคอลลาเจนได้ดีมาก โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นหลังฉีด
จุดที่แตกต่างกัน
มี Lidocaine ผสมในตัว Radiesse Plus มีการเติมยาชา Lidocaine เข้าไปในสูตร ทำให้ลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีดลงอย่างชัดเจน ผู้ที่กลัวเข็มหรือมีผิวไวต่อความรู้สึกจะรู้สึกสบายขึ้นมาก
ใช้งานง่ายและให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำขึ้น การผสมยาชาไว้ในตัวฟิลเลอร์ทำให้แพทย์สามารถฉีดได้ลื่นไหล ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมยาชาแยก ช่วยให้วางฟิลเลอร์ได้แม่นยำและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
ลดการบวมช้ำหลังทำ เนื่องจากผู้รับบริการรู้สึกสบาย ไม่ต้องฉีดยาชาเสริมบริเวณอื่น จึงลดความเสี่ยงของการบวมและรอยช้ำบริเวณรอบข้างหลังฉีด
ส่วนประกอบสำคัญของ Radiesse Plus คืออะไร?
หัวใจสำคัญของ Radiesse Plus คือการใช้สาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายแร่ธาตุในกระดูกมนุษย์ เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ในร่างกาย จึงเหมาะกับการใช้ในหัตถการทางการแพทย์ด้านความงาม โดยเฉพาะการฟื้นฟูผิวและยกกระชับอย่างยั่งยืน
จุดเด่นของสาร CaHA
เป็น Microsphere ขนาดเล็กที่ถูกแขวนลอยอยู่ในสารละลายเจล
เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ตัวเจลจะช่วยเติมเต็มทันที
ส่วนของ CaHA จะกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว
งานวิจัยทางการแพทย์หลายฉบับได้ยืนยันว่า CaHA มี คุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ผลการยกกระชับที่ยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริเวณผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยตามวัยดูงานวิจัยจาก Effectiveness and Safety of Calcium Hydroxylapatite With Lidocaine for Improving Jawline Contour
ส่วนผสมที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น Plus
Radiesse Plus ได้มีการผสม Lidocaine ซึ่งเป็นยาชาเฉพาะที่ (local anesthetic) ลงไปในสูตรมาตรฐาน เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด ทำให้ประสบการณ์ระหว่างทำหัตถการราบรื่นและสบายยิ่งขึ้น ไม่ต้องใช้ยาชาแยกเพิ่มเติม
ฟิลเลอร์กลุ่ม Biostimulator
Radiesse Plus ถือเป็นหนึ่งในฟิลเลอร์กลุ่ม “Biostimulator ” หรือ “ฟิลเลอร์กระตุ้นคอลลาเจน ” ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ ทั่วไปที่เน้นการเติมเต็มเพียงอย่างเดียว โดยผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นหลังฉีด และยังคงอยู่ได้ยาวนานกว่า 12-18 เดือนหรือมากกว่านั้นในบางกรณี
Radiesse Plus ดีอย่างไร?
ถ้าพูดถึงฟิลเลอร์ที่ “มากกว่าการเติมเต็ม ” Radiesse Plus คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในปัจจุบัน เพราะไม่ได้เพียงช่วยให้ใบหน้าอิ่มฟูทันทีหลังฉีด แต่ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวจากภายในอย่างแท้จริง
1. เติมเต็ม + ยกกระชับ + กระตุ้นคอลลาเจน
Radiesse Plus ทำงานสองขั้นตอนในครั้งเดียว
เติมเต็มทันที: ตัวเจลที่ห่อหุ้มอนุภาค CaHA จะให้ผลคล้ายฟิลเลอร์ทั่วไปทันทีหลังฉีด
ฟื้นฟูในระยะยาว: อนุภาค CaHA จะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่น ผิวยืดหยุ่น และผิวอ่อนเยาว์ มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3-6 เดือนหลังทำ
มีงานวิจัยรองรับว่า Radiesse สามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนประเภท I และ III ซึ่งเป็นคอลลาเจนหลักในชั้นผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ ดูงานวิจัยเพิ่มเติม
2. ผลลัพธ์อยู่นาน 12–24 เดือน
ถือเป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุดในตลาด โดยเฉลี่ยอยู่ได้นานกว่า 1 ปี และในบางรายอาจเห็นผลถึง 2 ปีโดยไม่ต้องเติมซ้ำบ่อยๆ
3. ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่บวม
เนื้อฟิลเลอร์ของ Radiesse Plus ไม่ดูดน้ำเหมือนฟิลเลอร์ แบบ HA จึงไม่ทำให้หน้าบวม ไม่ต้องกังวลว่าจะ “โป๊ะ” หรือดูหลอกตา ให้ผลลัพธ์ที่แนบเนียนเป็นธรรมชาติกับรูปหน้าเดิม
4. ความปลอดภัยสูง
CaHA เป็นสารที่ FDA รับรองว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ฉีดในร่างกาย
ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือพังผืดใต้ผิวเมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
Radiesse Plus จึงไม่ใช่แค่ทางเลือกใหม่ของการฉีดฟิลเลอร์ แต่เป็นทางเลือกของการฟื้นฟูผิวและโครงสร้างหน้าในระยะยาวแบบไม่ต้องผ่าตัดครับ
Radiesse Plus ต่างจากฟิลเลอร์แบบ HA ยังไง?
ฟิลเลอร์แบบ HA (Hyaluronic Acid) เป็นฟิลเลอร์ที่หลายคนคุ้นเคย ใช้เติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์ใตต้า และให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่เมื่อเทียบกับ Radiesse Plus แล้ว ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเหมาะกับเป้าหมายการรักษาที่ต่างกันไป
ฟิลเลอร์ HA เติมเต็มทันที อยู่ไม่นาน
เนื้อเจลนุ่ม ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการฉีดบริเวณผิวที่บาง เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก
ดูดน้ำได้ดี จึงช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นและเต่งตึง
อยู่ได้เฉลี่ยประมาณ 6–12 เดือน (แล้วแต่ชนิดและตำแหน่งที่ฉีด)
ไม่กระตุ้นคอลลาเจนผิว
Radiesse Plus ยกกระชับ ฟื้นฟูลึก อยู่ได้นานกว่า
เนื้อเจลแน่นกว่า ฉีดแล้วคงรูปดี เหมาะกับการยกกระชับ เติมคาง ร่องแก้ม หรือขมับ
ไม่ดูดน้ำ ไม่ทำให้หน้าบวม
อยู่ได้เฉลี่ย 12–24 เดือน
มีคุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวในระยะยาว
โครงสร้างโมเลกุล ต่างกันอย่างไร?
ประเภท
โครงสร้าง
การกระจายตัว
ความคงตัว
HA
เจลนิ่ม มีโครงสร้างเส้นใย
กระจายตัวเร็ว
สลายได้ง่าย
CaHA (ใน Radiesse)
อนุภาคแขวนลอยในเจล
กระจายตัวช้ากว่า
อยู่ได้นานกว่าและยกกระชับได้ดี
ใช้ร่วมกันได้ไหม?
จริงๆ แล้ว ในบางเคสแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ครบถ้วน เช่น
ใช้ HA ฉีดบริเวณผิวบางอย่างใต้ตา
ใช้ Radiesse Plus ยกกระชับกรอบหน้า คาง หรือร่องแก้ม
สิ่งสำคัญคือแพทย์ต้องประเมินลักษณะผิวและโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคนอย่างละเอียดก่อนเสมอ
ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเรื่อง การยกกระชับและฟื้นฟูระยะยาว Radiesse Plus อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ในขณะที่ HA เหมาะกับผู้ที่ต้องการความนุ่มเป็นธรรมชาติหรือเน้น “เติม” มากกว่า “ยก”
ฉีด Radiesse Plus ตรงไหนได้บ้าง?
หนึ่งในข้อดีของ Radiesse Plus คือความหลากหลายในการใช้งาน ทั้งการ ปรับรูปหน้า ยกกระชับ และ ฟื้นฟูผิวในร่างกาย โดยไม่จำกัดเฉพาะใบหน้าเท่านั้น จุดที่นิยมฉีด Radiesse Plus มีทั้งบริเวณที่ต้องการเติมเต็มและบริเวณที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
บริเวณบนใบหน้า
ร่องแก้มลึก (Nasolabial folds) เติมเต็มร่องลึกข้างจมูก ให้ดูอ่อนวัยขึ้นทันที และช่วยยกกระชับแก้มล่างไปพร้อมกัน
คาง (Chin Augmentation) เสริมคางให้ดูยาวและได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่บวม ไม่โป๊ะ
ขมับตอบ (Temple Hollowing) ช่วยเติมเต็มให้รูปหน้าดูอิ่มอ่อนเยาว์ และสมดุลมากขึ้น
แนวกรอบหน้า (Jawline Contouring) สร้างกรอบหน้าชัด ยกกระชับแก้มที่เริ่มหย่อนคล้อย
บริเวณลำตัวและมือ
หลังมือ (Hands Rejuvenation) ฟื้นฟูผิวหลังมือที่เริ่มบาง เห็นเส้นเลือดชัด ให้ดูเต็มและเนียนขึ้น
ลำคอ (Neck) ช่วยกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด
ต้นแขน, ต้นขา, หัวเข่า ใช้เพื่อกระชับผิวที่เริ่มหย่อนหรือไม่เรียบเนียน เช่น บริเวณด้านในต้นแขนหรือต้นขา ซึ่งปกติหัตถการอื่นเข้าไม่ถึง
Radiesse Plus ไม่เหมาะกับฉีดบริเวณไหน
ใต้ตา (Tear Trough) บริเวณใต้ตาเป็นผิวที่บางมาก และมีหลอดเลือดจำนวนมาก Radiesse Plus มีเนื้อแน่นและกระจายตัวยาก หากฉีดผิดชั้นหรือผิดตำแหน่ง อาจทำให้เกิดก้อน หรือลักษณะ “ตาโปน” ได้ง่าย
ริมฝีปาก (Lips) ริมฝีปากต้องการความนุ่มและยืดหยุ่น ซึ่งตรงข้ามกับลักษณะของ Radiesse Plus ที่มีโครงสร้างแข็งแรงและคงรูป ถ้าใช้ในบริเวณนี้จะทำให้ปากแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการจับตัวเป็นก้อน
ปลายจมูก และสันจมูกบางส่วน แม้หลายคนจะเข้าใจว่าฟิลเลอร์สามารถเติมจมูกได้ทุกจุด แต่สำหรับ Radiesse Plus นั้นไม่เหมาะกับปลายจมูกหรือจุดที่มีเส้นเลือดเยอะ เพราะมีความเสี่ยงต่อ vascular occlusion (เส้นเลือดอุดตัน) ได้มากกว่าฟิลเลอร์ชนิดอื่น
หน้าผากบางจุด แม้บางแพทย์อาจใช้ Radiesse บริเวณหน้าผาก แต่ก็ต้องระมัดระวังมาก เนื่องจากผิวบริเวณนี้บางและพื้นที่กว้าง หากใช้มากเกินไปหรือวางยาไม่ดี อาจทำให้เป็นก้อนหรือผิวไม่เรียบได้
Radiesse Plus เหมาะกับการฉีดบริเวณที่มี “เนื้อเพียงพอ” และ “ต้องการความคงรูปและการยกกระชับ” เช่น คาง ร่องแก้ม ขมับ กรอบหน้า หรือหลังมือ แต่ไม่เหมาะกับจุดที่ต้องการความนุ่ม ความยืดหยุ่น หรือมีโอกาสเสี่ยงต่อเส้นเลือดสูงครับ
Radiesse Plus เหมาะกับใครบ้าง?
ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย เช่น กรอบหน้าไม่ชัด แก้มตก คางสั้น หรือร่องแก้มลึก Radiesse Plus ช่วยเติมเต็มพร้อมยกกระชับผิว ให้กลับมาตึงแน่นโดยไม่ต้องผ่าตัด
ผู้ที่ผิวเริ่มบางจากอายุหรือฮอร์โมน เช่น ผู้ที่อายุมากขึ้น หรือผ่านการทำเลเซอร์บ่อยจนชั้นผิวบางลง Radiesse Plus ช่วยให้ผิวหนาขึ้น ดูสุขภาพดีจากภายใน
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่นานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป อยู่ได้นานถึง 12–24 เดือน และยังช่วยฟื้นฟูผิวในระยะยาว ไม่ใช่แค่เติมแล้วสลายไปเฉยๆ
ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ HA แล้วไม่อยู่ บางคนฉีด HA แล้วสลายไว หรือผลลัพธ์ไม่ชัดเจน Radiesse Plus จะช่วยให้เห็นผลชัดและคงตัวมากกว่า
คนที่อยากให้หน้าดูอ่อนวัยโดยไม่ต้องผ่าตัด เพราะเป็นการกระตุ้นผิวให้ฟื้นฟูตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การเติมสารที่มากจนแข็งหรือผิดรูป
ใครไม่เหมาะกับ Radiesse Plus
คนที่ผิวบางมาก เช่น บริเวณใต้ตา หรือริมฝีปาก
ผู้ที่มีปัญหาแพ้ Calcium หรือ Lidocaine
หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
ผู้ที่มีประวัติโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อใต้ผิว
Radiesse Plus ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
1. ยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
Radiesse Plus สามารถใช้แทนการดึงหน้าในผู้ที่ยังไม่อยากทำศัลยกรรม ด้วยคุณสมบัติของ CaHA ที่ช่วยพยุงผิวให้ดูยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และกระตุ้นให้ผิวแน่นขึ้นในระยะยาว
2. เติมเต็มร่องลึกได้อย่างคงรูป
เหมาะกับการเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึกหรือเนื้อผิวหายไป เช่น
ร่องแก้มลึก
คางสั้น
ขมับตอบ เพราะเนื้อเจลของ Radiesse Plus แน่นและไม่ดูดน้ำ จึงคงรูปได้ดี ไม่บวมเกินจริง
3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
หนึ่งในคุณสมบัติเด่นที่สุดของ Radiesse Plus คือ Biostimulation หรือการกระตุ้นผิวให้ผลิตคอลลาเจนใหม่เองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าแม้ฟิลเลอร์จะเริ่มสลาย ผลลัพธ์ของผิวยังดีขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลา 3–6 เดือนหลังฉีด
4. ฟื้นฟูผิวบริเวณมือและร่างกาย
นอกจากใช้บนใบหน้าแล้ว Radiesse Plus ยังนิยมใช้ฉีดบริเวณ:
หลังมือ (ลดความบาง เห็นเส้นเลือด)
ต้นแขน ต้นขา หัวเข่า (ผิวหย่อนคล้อย) ช่วยให้ผิวบริเวณที่เคยมองข้ามกลับมาแน่นและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง
5. ฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพ
เหมาะกับผู้ที่ผิวบางจากอายุ, การทำเลเซอร์หลายครั้ง, หรือผิวขาดคอลลาเจน Radiesse Plus จะช่วยเติมเต็มโครงสร้างใต้ผิว และทำให้ผิวแน่นขึ้นจากภายใน
ขั้นตอนการฉีด Radiesse Plus
1. ประเมินใบหน้าและวางแผนการรักษา
ก่อนเริ่มฉีด แพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหาใบหน้าและผิวของแต่ละบุคคล เช่น ความหย่อนคล้อย ร่องลึก หรือบริเวณที่ต้องการปรับรูป เพื่อวางแผนปริมาณยาและตำแหน่งการฉีดอย่างละเอียด
2. ถ่ายภาพก่อนทำ (Before)
เพื่อติดตามผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังทำ แพทย์จะทำการถ่ายภาพก่อนเริ่มหัตถการทุกครั้ง
3. เริ่มฉีด Radiesse Plus
ใช้เข็มหรือ blunt cannula ในการฉีด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและเทคนิคของแพทย์
ใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 30–45 นาที
แพทย์จะนวดปรับรูปทรงหลังฉีดทันที เพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวสม่ำเสมอ
4. หลังฉีด Radiesse Plus
หลังฉีด แพทย์จะให้ดูผลลัพธ์เบื้องต้นในกระจก พร้อมอธิบายว่าอาการบวมเล็กน้อยหรือความรู้สึกตึงจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน และการฟื้นฟูคอลลาเจนจะเริ่มเห็นผลในช่วง 1–3 เดือน
ความรู้สึกระหว่างฉีด Radiesse Plus
แม้ Radiesse Plus จะมี Lidocaine ผสมอยู่แล้ว แต่แพทย์จะอธิบายเพิ่มเติมถึงความรู้สึกระหว่างฉีด เช่น อาจรู้สึกตึงๆ หรืออุ่นเล็กน้อย ซึ่งเป็นปกติของฟิลเลอร์ประเภทนี้
หลังฉีด Radiesse Plus ต้องดูแลยังไง?
แม้ Radiesse Plus จะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการผ่าตัด แต่หลังฉีดก็ยังมีรายละเอียดในการดูแลตัวเองที่สำคัญ เพื่อให้ฟิลเลอร์เซตตัวได้ดี ลดโอกาสบวมช้ำ และช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาสวยชัดที่สุดครับ
หลังฉีด 24 – 48 ชั่วโมงแรก
เป็นช่วงเวลาที่ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากฟิลเลอร์ยังไม่เซตตัวเต็มที่
ควรทำ
ประคบเย็นเบาๆ หากมีอาการบวม
ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
พักผ่อนให้เพียงพอ งดนอนดึก
ปรึกษาแพทย์ทันทีหากมีอาการปวดมากผิดปกติ หรือรอยแดงไม่หาย
หลีกเลี่ยง
การจับ กด หรือบีบบริเวณที่ฉีด
การนวดเองโดยไม่จำเป็น
การออกกำลังกายหนักหรืออบซาวน่า
การดื่มแอลกอฮอล์ หรือทานอาหารรสจัด
หลังจากฉีด 3 – 7 วัน
อาการบวมมักจะค่อยๆ ดีขึ้นและเริ่มเข้าที่
ห้ามนวดหรือจัดรูปเองในช่วงนี้
หากมีรอยช้ำเกิดขึ้น จะหายได้ภายใน 7–10 วัน (อาจใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปกปิดได้)
Radiesse Plus ราคาเท่าไหร่?
ราคาของการฉีด Radiesse Plus จะแตกต่างกันตามปริมาณที่ใช้ พื้นที่ที่ทำ และประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฉีด โดยทั่วไปแล้วถือว่าอยู่ในระดับกลางถึงสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปเล็กน้อย เรทราคาโดยประมาณ
เริ่มต้นที่ 39,990 บาท/เข็ม (1.5 cc)
ราคาต่อเข็มอาจลดลงเมื่อซื้อเป็น แพ็กเกจ 2–3 เข็มขึ้นไป
แพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ใช้ร่วมกับฟิลเลอร์ HA หรือเทคโนโลยียกกระชับอื่น เพื่อเสริมผลลัพธ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา
ปริมาณ cc ที่ใช้ในแต่ละจุด
เทคนิคการฉีด (เช่น Blunt Cannula หรือเข็มแหลม)
ประสบการณ์ของแพทย์
การใช้ร่วมกับหัตถการอื่น เช่น HIFU, Ultherapy, Oligio ฯลฯ
โปรโมชั่นหรือโปรแกรมดูแลหลังทำของแต่ละคลินิก
Radiesse Plus อันตรายไหม?
ไม่อันตราย ปลอดภัย ถ้าทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Radiesse Plus ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA (องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา) ในการใช้งานทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 2006 และมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง
ปลอดภัยเพราะอะไร?
สาร CaHA ที่เป็นองค์ประกอบหลักของ Radiesse มีโครงสร้างใกล้เคียงกับแร่ธาตุในร่างกายมนุษย์ → ร่างกายจึงสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
มี Lidocaine ผสมในตัว ลดการใช้ยาชาแยก ซึ่งลดโอกาสการแพ้
ไม่ดูดน้ำ ไม่ดันเนื้อ ลดความเสี่ยงบวม/โป๊ะหลังฉีด
ไม่ก่อให้เกิดพังผืดหรือก้อนแข็ง ถ้าฉีดอย่างถูกเทคนิค
Radiesse Plus อาจไม่ปลอดภัยถ้า:
ฉีดโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ → เสี่ยงวางยาในตำแหน่งผิด หรือฉีดลึกเกินไป
ใช้ผลิตภัณฑ์ปลอม หรือไม่มี lot number จากบริษัท
ใช้ในบริเวณที่ไม่เหมาะ เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก
ผลข้างเคียงของ Radiesse Plus มีอะไรบ้าง?
แม้ว่า Radiesse Plus จะได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและมีการใช้อย่างแพร่หลายในคลินิกความงามทั่วโลก แต่เช่นเดียวกับหัตถการฉีดทุกประเภท ย่อมมีโอกาสเกิด ผลข้างเคียงบางประการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวและไม่รุนแรง
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป
บวมเล็กน้อย: มักเกิดบริเวณที่ฉีด และหายภายใน 1–3 วัน
รอยช้ำ: โดยเฉพาะหากฉีดบริเวณที่มีเส้นเลือดเยอะ เช่น ขมับหรือร่องแก้ม
ความรู้สึกตึง: จากการที่ฟิลเลอร์เซตตัวในชั้นผิว ซึ่งจะค่อยๆ ผ่อนคลาย
รู้สึกแข็งในบางจุด: โดยเฉพาะในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก แล้วจะค่อยๆ นิ่มลงตามธรรมชาติ
ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย (แต่ต้องระวัง)
ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน: หากฉีดลึกเกินไป หรือใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม
อาการแพ้: เช่น บวมแดงมาก มีผื่นหรือคัน (พบได้น้อยมาก)
การฉีดเข้าเส้นเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ: อาจทำให้เกิดการอุดตันในบางจุด ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลโดยเร็ว
ฉีด Radiesse Plus ใช้เวลานานไหมถึงจะเห็นผล?
Radiesse Plus เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะให้ทั้ง “ผลลัพธ์ทันที” และ “การฟื้นฟูระยะยาว” ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นลึก ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
1. เห็นผลทันทีหลังฉีด
หลังฉีดเสร็จ คุณจะเห็นว่าใบหน้าดูเต็มขึ้น ร่องลึกจางลง หรือรูปหน้าได้สัดส่วนขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการบวมเล็กน้อยใน 1–2 วันแรก ซึ่งจะค่อยๆ ยุบลงและเข้าที่
2. กระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง
ประมาณ 1–3 เดือนหลังฉีด ร่างกายจะเริ่มสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณที่ฉีด
ผิวจะค่อยๆ แน่นขึ้น ตึงขึ้น และดูอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเติมซ้ำทันที
จากงานวิจัยพบว่าอัตราการผลิตคอลลาเจนประเภท I และ III เพิ่มขึ้นถึง 42% ภายใน 90 วันหลังทำ
3. ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณ 12–24 เดือน
ในบางรายที่มีการดูแลผิวดีและฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสม อาจเห็นผลนานถึง 2 ปี
เมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลาย โครงสร้างผิวจะยังคงดีขึ้นจากการกระตุ้นคอลลาเจนที่เกิดขึ้นแล้ว
Radiesse Plus ของแท้ดูยังไง? 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเข้ารับบริการ
สามารถเช็ครายชื่อคลินิกบนเว็บไซต์ merzaesthetics หรือ สามารถสแกนสติกเกอร์ Merz Check ที่ติดไว้บนกล่องผลิตภัณฑ์ได้
กล่องต้องมี Serial Number และ Lot Number ทุกกล่องจะมีเลขรหัสกำกับเฉพาะ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงผู้ผลิตควรระบุวันผลิต-วันหมดอายุชัดเจน มีสติ๊กเกอร์ระบุรุ่นว่า “Radiesse Plus” อย่าสับสนกับรุ่นธรรมดา (Radiesse รุ่นเดิมที่ไม่มี Lidocaine) บนกล่องจะระบุว่า “Radiesse® Plus with Lidocaine”
สามารถให้แพทย์แกะกล่องต่อหน้าได้ เพื่อความมั่นใจ 100% ว่าใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ใช่ของที่เปิดแล้วหรือรีฟิลจากหลอดอื่น ซีลกล่องต้องสมบูรณ์ ไม่ชำรุด หากกล่องถูกเปิด ซีลขาด หรือมีร่องรอยการแกะ ควรหลีกเลี่ยงทันที
คลินิกมีใบ Certified Injector ของแพทย์ที่ผ่านการอบรมจาก Radiesse มีใบรับรองจากตัวแทนจำหน่ายในไทย คลินิกที่ใช้ของแท้มักจะแสดงใบ Certificate จากผู้นำเข้า หรือสามารถขอดูได้ก่อนทำหัตถการ
หลังเข้ารับบริการจะได้รับ Skin Rejuvenation Card เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นของแท้จากบริษัท Merz Aesthetics
บทสรุป
Radiesse Plus คือฟิลเลอร์ชนิดพิเศษที่ไม่ได้เพียงแค่เติมเต็มร่องลึก แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่ทั้งยกกระชับและฟื้นฟูผิวในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือเริ่มมีโครงสร้างผิวเสื่อมสภาพตามวัย โดยเห็นผลทันทีหลังฉีด และพัฒนาอย่างต่อเนื่องใน 1–3 เดือนต่อมา ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1–2 ปี ปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แท้ที่มีใบรับรองอย่างถูกต้องเสมอ