ผิวหย่อนคล้อยแก้ยังไง ถ้ามองกระจกแล้วรู้สึกว่าหน้าเราดูเปลี่ยนไป ผิวที่เคยกระชับดูเต่งตึง เริ่มดูหย่อนลง ร่องแก้มลึกขึ้น หรือใบหน้าดูไม่สดใสเหมือนเดิม ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น แสงแดด มลภาวะ หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เราอาจไม่ทันได้สังเกต

แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ! เพราะเดี๋ยวนี้มีหลายวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมากระชับขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น หัตถการทางการแพทย์ อย่าง Ultherapy PRIME, Ultraformer III, Oligio, Sylfirm X plus หรือถ้าใครอยากดูแลตัวเองจากภายใน การทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน หลีกเลี่ยงแสงแดด และเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน

แล้ววิธีไหนที่เหมาะกับแต่ละคน? หัตถการแต่ละแบบต่างกันยังไง? วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังครับ!

แต่ละช่วงวัยมีการเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างไร?

ผิวหย่อนคล้อยไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในวัยกลางคน แต่เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นเร็วกว่าที่หลายคนคิด ตั้งแต่อายุ 25+ ร่างกายก็เริ่มสูญเสียคอลลาเจนแล้ว ซึ่งถ้าเราไม่ได้ดูแลให้ดี ปัญหานี้จะค่อย ๆ สะสมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเห็นได้ชัดขึ้นทุกปี

มาดูกันครับว่า แต่ละช่วงวัยต้องเจอกับอะไรบ้าง และทำไมบางคนอายุแค่ 30 ต้น ๆ แต่ผิวดูโรยราเหมือน 40+ ไปแล้ว

อายุ 25+ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่หลายคนมองไม่เห็น

อายุ 30+ ผิวเริ่มบางลง ความยืดหยุ่นลดลงแบบที่สัมผัสได้

อายุ 40+ จุดที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดที่สุด

อายุ 50+ การฟื้นฟูของผิวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

หัตถการอะไร ช่วยกระชับผิวหย่อนคล้อย (ไม่ต้องผ่าตัด)

1. Ulthera Prime

Ulthera Prime เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) เพื่อส่งผ่านพลังงานลงไปยังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

ระยะเวลาการเห็นผล: เริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

2. Ultraformer III

Ultraformer III เป็นเครื่อง HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยสามารถปรับระดับความลึกของพลังงานให้เหมาะกับแต่ละบริเวณของผิว

ระยะเวลาการเห็นผล: เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

3. Oligio

Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency – RF) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวแน่นขึ้นและริ้วรอยลดลง

ระยะเวลาการเห็นผล: เห็นผลทันทีหลังทำ และค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

4. Sylfirm X plus

Sylfirm X plus เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ส่งผ่าน คลื่นความถี่วิทยุโดยเข็มขนาดเล็ก (Microneedling RF) ที่สามารถลงลึกและเจาะจงลงลึกเฉพาะบริเวณที่มีปัญหา โดยไม่กระทบเนื้อเยื่อรอบข้าง สามารถช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และลดรอยด่างดำจากฝ้าที่เกิดจากเส้นเลือกได้พร้อมกัน

ระยะเวลาการเห็นผล: เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน

5. HIFU

HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง คล้ายกับ Ultraformer III แต่มีหลายระดับคุณภาพตามแต่ละยี่ห้อ

ระยะเวลาการเห็นผล: เริ่มเห็นผลใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

ผิวหย่อนคล้อยแก้ยังไง วิธีเลือกหัตถการยกกระชับให้เหมาะกับสภาพผิว

การเลือกวิธีการ แก้ผิวหย่อนคล้อยหรือผิวหย่อนคล้อยทำยังไง ขึ้นอยู่กับ อายุผิว ปัญหาผิว และผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งสามารถพิจารณาได้ตามนี้

แก้ผิวหย่อนคล้อย:

การเลือกครีมบำรุงที่ช่วยให้ผิวกระชับ ควรมีส่วนผสมอะไร?

เมื่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง การใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยชะลอความหย่อนคล้อยของผิวได้ หากเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึงและกระชับขึ้น สารสำคัญที่ควรมีในครีมบำรุง เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อย มีดังนี้

1. Retinol (เรตินอล): กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย

เหมาะกับ: ผู้ที่มีริ้วรอยแรกเริ่ม หรือผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ

2. Peptides (เปปไทด์): ฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว

เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการให้ผิวแน่นขึ้น แต่ไม่สามารถใช้เรตินอลได้

3. Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิค แอซิด): เพิ่มความชุ่มชื้น ลดความเหี่ยวย่น

เหมาะกับ: ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งหรือขาดน้ำ

4. Vitamin C (วิตามินซี): กระตุ้นคอลลาเจน และช่วยให้ผิวกระจ่างใส

เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการให้ผิวกระจ่างใส และป้องกันการเสื่อมของคอลลาเจน

5. Niacinamide (ไนอาซินาไมด์): ลดการอักเสบ และเพิ่มความแข็งแรงของผิว

เหมาะกับ: ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาผิวอักเสบ

6. Collagen-Boosting Ingredients (สารที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน)

เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นขึ้นแบบธรรมชาติ

เคล็บลับ Collagen Biostimulator โปรแกรมบำรุงผิว ฟื้นฟูผิว

เคล็บลับการเลือกครีมบำรุงผิว ควรแบบไหนดี?

อาหารที่ช่วยให้ผิวกระชับ ไม่หย่อนคล้อย

การดูแลผิวจากภายนอกด้วยครีมบำรุงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาความกระชับของผิว แต่ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนเพียงพอ ผิวก็จะเสื่อมลงเร็วขึ้น ดังนั้น การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น

1. อาหารที่ช่วยสร้างคอลลาเจน

คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ อาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้แก่

2. อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมลง และเร่งให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและรังสี UV

3. อาหารที่มีกรดไขมันดี

ไขมันไม่ได้แย่เสมอไป โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น

4. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

บางอาหารอาจทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น และทำให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วขึ้นกว่าปกติ ควรลดหรืองดอาหารเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงของการเสื่อมของผิว

พฤติกรรมที่ช่วยลดผิวหย่อนคล้อย

นอกจากการเลือกใช้ครีมบำรุงและการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนแล้ว พฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็มีผลโดยตรงต่อความกระชับของผิว หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ผิวจะฟื้นตัวและคงความเต่งตึงได้นานขึ้น

1. การล้างหน้าที่ถูกต้อง

หลายคนอาจมองข้ามเรื่องการล้างหน้า แต่ความจริงแล้ว การล้างหน้าอย่างถูกวิธีช่วยลดการทำลายคอลลาเจนและป้องกันการหย่อนคล้อยของผิว

2. การนวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

การนวดหน้าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผิวดูเฟิร์มและกระชับขึ้น เพราะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและทำให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น

3. การออกกำลังกาย โดยเฉพาะโยคะใบหน้า

กล้ามเนื้อใบหน้ามีส่วนสำคัญในการพยุงโครงสร้างของผิว หากกล้ามเนื้อใบหน้าแข็งแรงขึ้น ผิวจะกระชับขึ้นตามไปด้วย

4. การนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูผิวได้ดีขึ้น

ร่างกายจะซ่อมแซมเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจน ในช่วงที่เรานอนหลับลึก หากนอนดึกเป็นประจำ จะทำให้ผิวฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

5. หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ ที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย

หลายคนอาจไม่รู้ว่า การนอนคว่ำเป็นประจำอาจทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยเร็วขึ้น เพราะใบหน้าถูกกดทับกับหมอนเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดรอยย่นและร่องลึกบนผิว

สรุป

ก่อนตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา การเข้าใจสาเหตุของผิวหย่อนคล้อยเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้อ่าน ผิวหย่อนคล้อย คืออะไร เกิดจากอะไร วิธีเช็กอายุผิว เพื่อทำความเข้าใจต้นเหตุของปัญหาและแนวทางป้องกันที่เหมาะสมก่อนเริ่มการรักษา

ผิวหย่อนคล้อย เกิดจากอะไร เช็กยังไง เคยส่องกระจกแล้วรู้สึกไหมครับว่า ทำไมหน้าดูเปลี่ยนไป? ร่องแก้มลึกขึ้น กรอบหน้าเริ่มเบลอ ๆ เหนียงโผล่โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ นี่แหละครับ เรียกว่า “ผิวหย่อนคล้อย” เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคนเมื่ออายุเพิ่มขึ้น

แต่ไม่ได้หมายความว่าอายุ 40-50 ปีขึ้นไปถึงจะต้องกังวลนะครับ จริง ๆ แล้ว อายุ 25+ ผิวก็เริ่มหย่อนคล้อยแบบที่หลายคนอาจไม่รู้ตัวเลย ทุกครั้งที่ทำงานหนัก ใช้ชีวิตแบบไม่พัก หรือโดนแดดบ่อย ๆ โดยไม่ป้องกัน ผิวของเราก็ค่อย ๆ เสื่อมลงแบบไม่รู้ตัว

วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟัง สาเหตุของผิวหย่อนคล้อย อาการของผิวหย่อนคล้อย วิธีเช็คอายุผิว ใครที่กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่ ลองอ่านดูนะครับ

ผิวหย่อนคล้อยคืออะไร?

ผิวหย่อนคล้อย เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อ โครงสร้างผิวสูญเสียความกระชับและยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึงเหมือนเดิม โดยทั่วไป ผิวที่มีสุขภาพดีจะมี คอลลาเจน (Collagen) และ อีลาสติน (Elastin) เป็นโครงสร้างหลักที่ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ และคืนตัวได้เร็วเมื่อถูกดึงหรือกด

เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง ผิวจึงเริ่มหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยขึ้น

ผิวหย่อนคล้อย ต่างจากริ้วรอยทั่วไปยังไง?

แม้ว่าทั้ง ผิวหย่อนคล้อย และ ริ้วรอย จะเป็นสัญญาณของความเสื่อมของผิว แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ดังนั้น หากสังเกตว่า ใบหน้าดูไม่สดใส กรอบหน้าดูเบลอ หรือแก้มตก นั่นแปลว่า ผิวของคุณไม่ได้มีแค่ริ้วรอย แต่กำลังเผชิญกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยแล้ว

บริเวณที่มักเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย

  1. ใบหน้า – แก้มเริ่มตก ร่องแก้มลึกขึ้น กรอบหน้าไม่ชัด
  2. ลำคอ – ผิวใต้คอเริ่มมีรอยพับ หรือที่เรียกว่า “คอไก่งวง”
  3. เปลือกตาและหางตา – หนังตาตก ทำให้ดวงตาดูไม่สดใส
  4. แขนและต้นขา – ผิวบริเวณต้นแขนและต้นขาดูเหี่ยวย่นและขาดความกระชับ
  5. หน้าท้อง – ผิวบริเวณหน้าท้องหย่อนลง โดยเฉพาะหลังคลอดหรือลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

ผิวหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?

1. อายุที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง:

นอกจากการลดลงของคอลลาเจนแล้ว กล้ามเนื้อใบหน้าก็มีส่วนสำคัญ เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อที่เคยพยุงผิวให้กระชับเริ่มอ่อนแรงลง ส่งผลให้แก้มและกรอบหน้าหย่อนลง

2. แสงแดด และมลภาวะ

รังสี UV และมลภาวะเป็นตัวการหลักที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และเร่งให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วขึ้น:

แสงแดดถือเป็น ศัตรูตัวฉกาจของผิว เพราะมันทำให้ผิวอ่อนแอลงทุกวันโดยที่เราไม่รู้ตัว แม้จะอยู่ในที่ร่มหรือในออฟฟิศ รังสี UV ก็ยังมีผลต่อผิวได้

3. พฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่อาจเร่งให้ผิวของเราหย่อนคล้อยเร็วขึ้น:

4. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว

การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ผิวอ่อนแอลง:

ความสำคัญของการประเมินปัญหาผิว

การดูแลผิวให้คงความอ่อนเยาว์ไม่ใช่แค่การบำรุงหรือการทำหัตถการรักษาเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญคือ การสังเกตและประเมินสภาพผิวตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการสะสมความเสียหายที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

ทำไมการประเมินปัญหาผิวตั้งแต่เนิ่นๆ จึงสำคัญ?

  1. รู้ปัญหาก่อน รักษาได้เร็วกว่า
    • ยิ่งเราพบปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้เร็วเท่าไร การดูแลรักษาหรือป้องกันจะยิ่งมีประสิทธิภาพและง่ายขึ้นเท่านั้น
    • ช่วยลดความจำเป็นในการรักษาที่รุนแรงหรือซับซ้อน เช่น การผ่าตัดหรือหัตถการที่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
  2. ลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลา
    • เมื่อพบปัญหาเร็ว การดูแลจะง่าย ใช้เวลาสั้น และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการปล่อยให้ปัญหารุนแรงจนต้องทำหัตถการที่มีราคาสูงขึ้น
  3. วางแผนการดูแลได้เหมาะสมกับสภาพผิวจริง
    • การประเมินที่ถูกต้องจะช่วยให้เราเลือกวิธีดูแลและป้องกันได้อย่างตรงจุด เช่น เลือกสกินแคร์ที่เหมาะสม หรือเลือกหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาได้จริงๆ ไม่ใช่ทำตามกระแสเพียงอย่างเดียว
  4. รักษาความมั่นใจในตัวเอง
    • ผิวที่ดูดีส่งผลโดยตรงต่อความมั่นใจและสุขภาพจิต การรู้และจัดการกับปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยรักษาความมั่นใจได้ดีมากกว่าแก้ไขเมื่อสายเกินไป

ผลกระทบของผิวหย่อนคล้อยต่อคุณภาพชีวิต

ปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่ได้ส่งผลแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังกระทบต่อคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ได้แก่

  1. ความมั่นใจลดลง – ผิวที่ไม่กระชับ อาจทำให้รู้สึกแก่กว่าวัย ส่งผลต่อความมั่นใจในการพบปะผู้คน
  2. แต่งหน้าติดยากขึ้น – เมื่อผิวขาดความกระชับ รองพื้นและเครื่องสำอางอาจไม่เรียบเนียน ทำให้แต่งหน้าได้ยากกว่าเดิม
  3. ดูเหนื่อยล้าและโทรมตลอดเวลา – แม้จะพักผ่อนเพียงพอ แต่ใบหน้าที่หย่อนคล้อยอาจทำให้ดูเหมือนเหนื่อยล้าอยู่เสมอ
  4. ส่งผลต่อบุคลิกภาพและความประทับใจแรกพบ – ผิวที่เต่งตึงช่วยให้ดูสดใสและมีพลังมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์โดยรวม
  5. อาจส่งผลต่อโอกาสทางสังคมและการทำงาน – บุคลิกที่ดูสดชื่นและมั่นใจอาจช่วยเสริมภาพลักษณ์ทางอาชีพได้ดีกว่า

แม้ว่าผิวหย่อนคล้อยจะเป็นเรื่องธรรมชาติของวัย แต่การดูแลผิวตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คงความอ่อนเยาว์และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว

วิธีเช็กอาการและอายุผิวหย่อนคล้อย

1. ทดสอบการคืนตัวของผิว (Skin Elasticity Test)

วิธีเช็ก:

ผลลัพธ์:

2. เช็กความชุ่มชื้นของผิว (Hydration Test)

วิธีเช็ก:

ผลลัพธ์:

3. เช็กริ้วรอยและร่องลึก (Wrinkle Test)

วิธีเช็ก:

ผลลัพธ์:

4. เช็กความกระชับของกรอบหน้า (Jawline Firmness Test)

วิธีเช็ก:

ผลลัพธ์:

5. เช็กผิวใต้ตาและความสดใสของใบหน้า

วิธีเช็ก:

ผลลัพธ์:

สรุป

ผิวหย่อนคล้อยเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลสะสมจากการใช้ชีวิตประจำวัน และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น หากคุณเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของผิวหย่อนคล้อยและต้องการวิธีแก้ไขที่ได้ผล การเลือกแนวทางการรักษาและการดูแลที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ โปรดอ่านเพิ่มเติมในบทความ ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย แก้ยังไง? ทำหัตถการอะไรดี วิธีดูแลตัวเอง เพื่อให้ผิวกลับมากระชับสดใสอีกครั้ง

แม้ว่าเราจะไม่สามารถหยุดกระบวนการแก่ชราได้ แต่เราสามารถชะลอและดูแลให้ผิวของเราดูดีเหมาะสมกับวัยได้ การป้องกันตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม จะช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีได้ในระยะยาว

หัตถการยอดฮิตในการปรับรูปหน้าเรียวที่หลายคนเลือกทำคงหนีไม่พ้นการฉีดโบท็อกซ์กราม แต่ก็ยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่เคยทำและมีความสงสัยว่าโบท็อกซ์กรามหน้าเรียวจริงไหม จะอันตรายรึป่าว ควรฉีดยี่ห้อไหนดี แล้วแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร เพื่อช่วยในการตัดสินใจสามารถอ่านบทความนี้ก่อนครับ

โบท็อกซ์กราม คืออะไร

โบท็อกซ์กราม (Masseter Botox) คือการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณกรามหรือMasseter muscle โดยสารตัวนี้จะเข้าไปลดการทำงานของสารสื่อประสาท จึงลดการทำงานและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามมีขนาดเล็กลง 

การฉีดโบท็อกซ์กรามนั้นช่วยในการรักษาอาการต่างๆที่เกิดจากกล้ามเนื้อกรามได้ เช่น การนอนกัดฟันกราม อาการปวดกราม และในทางการแพทย์ด้านความงามจะใช้โบท็อกซ์กรามเพื่อการปรับรูปหน้าให้มีความสมมาตรขึ้น แก้ปัญหากรามใหญ่ กรามปูด หรือรูปหน้าไม่เท่ากันที่เกิดจากกล้ามเนื้อกราม

ฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วหน้าเรียวขึ้นจริงไหม

หลังจากฉีดโบท็อกซ์กราม กล้ามเนื้อกรามมีการหดตัวลงและมีขนาดเล็กลง จึงทำให้รูปหน้าดูเรียวเล็กลงด้วยเช่นกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในแต่ละเคสนั้นจะขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละท่านว่ามีการตอบสนองต่อการฉีดโบท็อกซ์ได้ดีแค่ไหน  

หากต้องการที่จะปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นสามารถฉีดโบท็อกซ์กรามร่วมกับหัตถการอื่นๆได้ เช่น 

โบท็อกซ์กราม กี่วันเห็นผล และอยู่ได้นานแค่ไหน

การฉีดโบท็อกซ์กรามจะเริ่มออกฤทธิ์ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ และให้ผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ โดยระยะเวลาในการเห็นผลนั้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้ง ปริมาณโบท็อกซ์ที่ฉีด ความแข็งแรงของมัดกล้ามเนื้อ และการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล 

โดยหลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วจะให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน โบท็อกซ์จะค่อยๆสลายไปได้เองตามธรรมชาติ และกล้ามเนื้อจะค่อยๆเริ่มกลับมาทำงาน ซึ่งหากต้องการผลลัพธ์ในการรักษาแบบต่อเนื่องสามารถฉีดโบท็อกซ์เพิ่มได้ แต่ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป และไม่ควรที่จะฉีดโบท็อกซ์ถี่หรือบ่อยจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ได้

โบท็อกซ์กราม อันตรายไหม

การฉีดโบท็อกซ์นั้นเป็นหัตถการที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในทางการแพทย์ ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือตกค้างในร่างกาย ตัวยาสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ควรฉีดโบท็อกซ์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา

ฉีดโบท็อกซ์กราม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์กรามสามารถแบ่งออกได้เป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่สามารถพบได้ปกติและผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการฉีดโบท็อกซ์กราม

ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบได้บ้างหลังจากฉีดโบท็อกซ์กราม ได้แก่ 

– อาการบวมแดง หรือเขียวช้ำจากเข็มขณะฉีดโบท็อกซ์ มีอาการปวดเมื่อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่สามารถหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ 

– ฉีดโบท็อกซ์แล้วกรามปูดเป็นก้อนขึ้นมาเวลากัดฟัน สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกในเคสที่มีกล้ามเนื้อกรามขนาดใหญ่ ทำให้โบท็อกซ์ไม่สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง เมื่อโบท็อกซ์ออกฤทธิ์เต็มที่กรามที่ปูดก็จะหายได้เอง หรือหลังจากฉีดประมาณ 2-4 สัปดาห์แล้วกรามที่ปูดยังไม่ยุบตัวลง สามารถพบแพทย์เพื่อทำการฉีดโบท็อกซ์ซ้ำตรงบริเวณที่ปูดได้ 

ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดโบท็อกซ์กราม ได้แก่ 

– ฉีดโบท็อกซ์แล้วยิ้มแข็ง ปากเบี้ยวและยิ้มไม่สุด 

– ฉีดโบท็อกซ์แล้วแก้มตอบ หน้าหย่อนคล้อย 

ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้หากแพทย์ที่ฉีดไม่มีความเชี่ยวชาญ มีการฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้ปริมาณโบท็อกซ์ที่มากจนเกินไป 

โบท็อกซ์กราม เหมาะกับใคร

– เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง

– เหมาะสำหรับคนที่อยากปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องการผ่าตัดหรือไม่มีเวลาในการพักฟื้น

– เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหารูปหน้าไม่เท่ากัน ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูใกล้เคียงกันมากขึ้น

– เหมาะสำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อกรามเยอะ มีปัญหากรามปูด 

สำหรับคนที่อยากเช็คว่าตัวเองมีเนื้อกรามเยอะไหม สามารถเช็กเบื้องต้นด้วยตนเองง่ายๆ เพียงแค่นำนิ้วไปทาบไว้บริเวณกราม แล้วลองกัดฟันดูว่ามีกล้ามเนื้อกรามเด้งมากระทบที่นิ้วไหม หรือหากไม่มั่นใจสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ก่อนได้ครับ

ฉีดโบท็อกซ์กราม ยี่ห้อไหนดี

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันในท้องตลาดมีโบท็อกซ์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละยี่ห้อนั้นมีความแตกต่างกันไปตามความบริสุทธิ์ของตัวยาและระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ โดยที่ Smooth Clinic เลือกใช้ได้แก่

– Allergan แบรนด์จากประเทศอเมริกา เป็นผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์แบรนด์แรกของโลก มีความบริสุทธิ์สูง ช่วยลดโอกาสในการดื้อยาได้ อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

– Neuronox แบรนด์จากประเทศเกาหลี ผลิตโดยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เพื่อให้ได้โปรตีนบริสุทธิ์ ปราศจากการปนเปื้อน สูงถึง 99.7% อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

สรุป โบท็อกซ์กราม

การฉีดโบท็อกซ์สามารถปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็กขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหารูปหน้าไม่เท่ากัน เนื้อกรามใหญ่ กรามปูดได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพักฟื้น และใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน สำหรับใครที่สนใจสามารถปรึกษาหรือเข้ามาให้หมอประเมินรูปหน้าก่อนได้ครับ

การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่หมอแนะนำในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ใครที่กำลังกังวลกับริ้วรอยก่อนวัยอันควรที่ทำให้ดูมีอายุ และรู้สึกไม่มั่นใจ สามารถมาอ่านบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนทำโบท็อกซ์ริ้วรอยก่อนได้ครับ

ริ้วรอยเกิดจากอะไร

ริ้วรอยสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกันเช่น 

โบท็อกซ์ริ้วรอยคืออะไร

การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยคือการใช้โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อทั่วบริเวณที่มีริ้วรอย เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อนั้นๆ ให้กล้ามเนื้อหดตัวลง จึงทำให้ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าลดลงได้ 

ฉีดริ้วรอยบริเวณไหนได้บ้าง

ริ้วรอยแบบไหนที่ไม่สามารถฉีดโบท็อกซ์ได้

ถึงแม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดริ้วรอยได้หลายบริเวณทั่วหน้า แต่ก็ไม่ได้สามารถรักษาริ้วรอยได้ทุกรูปแบบ เพราะการฉีดโบท็อกซ์สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้เฉพาะริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ (Dynamic Wrinkles) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงสีหน้าเท่านั้น

ส่วนริ้วรอยร่องลึกหรือริ้วรอยถาวร (Static Wrinkles) ที่มีลักษณะเป็นริ้วรอยหรือเป็นเส้นร่องลึกที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ไม่ได้แสดงสีหน้านั้นจะไม่สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์

ริ้วรอยประเภทนี้เกิดจากผิวที่เสื่อมสภาพ ขาดคอลลาเจนใต้ชั้นผิว หรือมีการแสดงสีหน้าเยอะๆจนเกิดเป็นร่องลึกถาวรได้ ซึ่งริ้วรอยประเภทนี้ได้แก่ ริ้วรอยบริเวณมุมปาก ริ้วรอยร่องแก้มลึกๆข้างปีกจมูกลงมา เป็นต้น 

การรักษาริ้วรอยประเภทนี้สามารถทำได้โดย

โบท็อกซ์ริ้วรอยกี่วันเห็นผล

การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะใช้ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยหลังฉีดประมาณ 3-7 วัน จะเริ่มรู้สึกได้ว่าผิวหน้าบริเวณที่มีการฉีดโบท็อกซ์มีความตึงขึ้น และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยหลังจากฉีดโบท็อกซ์ความปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด 

โบท็อกซ์ริ้วรอยอยู่ได้นานแค่ไหน

ผลลัพธ์ในการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกันทั้งสภาพผิวของแต่ละบุคคล ยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ โดยเฉพาะการดูแลตัวเองในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังจากฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งหากดูแลตัวเองได้ดี ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำ มีการหลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่เสี่ยงทำให้โบท็อกซ์สลายได้เร็วก็จะทำให้เห็นผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยที่นานยิ่งขึ้น

โบท็อกซ์ริ้วรอยราคา

ราคาของการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยแต่ละที่จะแตกต่างกันไปตามปริมาณยูนิตที่ใช้ ยี่ห้อของโบท็อกซ์ รวมไปถึงเทคนิคของแพทย์ โดยการเลือกฉีดโบท็อกซ์ควรเลือกใช้โบท็อกซ์ที่มีคุณภาพ และเลือกใช้บริการกับคลินิกที่น่าเชื่อถือ ซึ่งที่ Smooth Clinic เราจะใช้โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านมาตรฐาน อย. เท่านั้นโดยแต่ละตัวจะมีราคาดังนี้

– โบท็อกซ์ Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา

ปริมาณ 50 ยูนิต ราคา 13,500 บาท
ปริมาณ 100 ยูนิต ราคา 19,500 บาท

– โบท็อกซ์ Neuronox จากประเทศเกาหลี

ปริมาณ 50 ยูนิต ราคา 5,999 บาท
ปริมาณ 100 ยูนิต ราคา 9,999 บาท

สอบถามราคาโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ : Smooth Clinic

สรุป

การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยเป็นหัตถการที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอย เพราะสามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้เป็นอย่างดี ใช้ระยะเวลาไม่นานในการเห็นผลลัพธ์และไม่ต้องพักฟื้น แต่ทั้งนี้การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยไม่ได้สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้ทุกประเภท ดังนั้นใครที่กำลังกังวลปัญหาริ้วรอยสามารถเข้ามาสอบถามหรือให้หมอช่วยประเมินดูก่อนได้ครับ

แม้จะอายุมากขึ้นแต่อย่าปล่อยให้ผิวโทรมตามไปด้วย ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์ อิ่มฟูแบบครบองค์รวมต้อง Radiesse นวัตกรรมกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ล่าสุดที่กำลังมาแรงอย่างมากในปัจจุบัน

Radiesse คืออะไร

เรเดียสหรือ Radiesse เป็นสารฉีดกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง (Regenerative Biostimulator) เพื่อการฟื้นฟูโครงสร้างของผิว ให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น 

ส่วนประกอบหลักของ Radiesse คือแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite) หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายของเรา เหมือนแคลเซียมในร่างกาย สามารถพบได้ในกระดูกและฟัน มีลักษณะเป็นทรงกลมขนาดเล็ก อนุภาคสม่ำเสมอกันอยู่ที่ 25-45 ไมครอน 

CaHA สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายได้อย่างปลอดภัยและกระจายในผิวได้อย่างดี เมื่อเข้าไปในผิวหนังแล้ว ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จะเข้ามาจับ CaHA และยืดตัวทำให้เกิดกลไกในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังเพิ่มขึ้น

หลังจากนั้น CaHA จะสลายเป็นแคลเซียมและฟอสเฟต และถูกขับถ่ายผ่านระบบไตตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย โดยไม่ตกค้าง

Radiesse มีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยมียอดขายมากกว่า 15 ล้านไซริงค์ และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในไทย สหรัฐอเมริกา และยุโรป

ฉีด Radiesse บริเวณไหนได้บ้าง

ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ Radiesse ในการฟื้นฟูผิวบริเวณใบหน้าและลำคอเป็นหลัก เช่น แก้ไขรอยเหี่ยวย่นบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอยพับบนใบหน้า รอยพับที่คอ เป็นต้น

จริงๆแล้ว Radiesse ยังสามารถใช้รักษาได้อีกหลายบริเวณไม่ว่าจะเป็นหลังมือ บริเวณเนินอก ก้น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เข่า และข้อศอก เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของผิว ให้ผิวเฟิร์มกระชับ และลดริ้วรอยบริเวณต่างๆ โดยมีงานวิจัยรองรับถึงผลลัพธ์การรักษาในแต่ละบริเวณ 

Radiesse ช่วยอะไรบ้าง

การฉีด Radiesse จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวทำให้เกิดกลไกในการกระตุ้นสร้างเส้นใยโครงข่ายผิวใหม่แบบครบถ้วน 5 ประการ

1 การกระตุ้นสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 สูงถึง 150 % ช่วยให้ผิวมีความแน่น เฟิร์ม กระชับ 

2 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 3 สูงถึง 130% ช่วยให้ผิวมีความนุ่มและช่วยเสริมการเกิดคอลลาเจนชนิดที่ 1

3 ช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสติน สูงถึง 260% ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ผิวเด้ง

4 ช่วยกระตุ้นการสร้างหลอดเลือด เพิ่มสารอาหารหล่อเลี้ยงผิว

5 ช่วยกระตุ้นการสร้างสารน้ำหล่อเลี้ยงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว 

Radiesse เหมาะกับใคร

– เหมาะสำหรับคนที่อายุตั้งแต่ 30-55 ปี หรือสำหรับคนที่เริ่มรู้สึกว่าร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง

– เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ และมีริ้วรอย 

– เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว ผิวหน้าดูโทรม ดูมีอายุ

– เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

– ผู้ที่ต้องการดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์ในการรักษาระยะยาว 

– ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลตัวเอง  

Radiesse กี่วันเห็นผลและอยู่ได้นานแค่ไหน

ผลลัพธ์หลังทำเสร็จทันที จะให้ในเรื่องของการเติมเต็มวอลลุ่ม ริ้วรอยร่องตื้นจะดูเต็มขึ้น ผิวมีความยกกระชับขึ้นมาเล็กน้อย 

หลังจากทำ 3-4 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในเรื่องของการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดย Radiesse จะมีการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวนานถึง 1 ปี และเห็นผลลัพธ์ได้ยาวนานสูงสุดถึง 2 ปี

Radiesse กับ Sculptra ต่างกันอย่างไร

ทั้งสองตัวนี้เป็นสารที่ฉีดกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังนี้

Radiesse 

– มี Calcium Hydroxyapatite) หรือCaHA เป็นส่วนประกอบหลัก

– เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนโดยเข้าไปจับกับตัวไฟโบรบลาสต์โดยตรง ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้มากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 

– ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

Scultra 

– มี Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เป็นส่วนประกอบหลัก

– เป็นการกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ผ่านกระบวนการอักเสบใต้ชั้นผิว ทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ให้เซลล์เม็ดเลือดขาวไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้นเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงคุณภาพของผิวหนัง

– เริ่มเห็นผลลัพธ์หลังทำประมาณ 1 เดือน

5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อเช็ค Radiesse ของแท้

0b965fc0 1c65 42e1 9574 ee170d9ec355

1. สามารถเช็ครายชื่อคลินิกบนเว็บไซต์ https://www.merzaesthetics.co.th/

2. บริเวณหน้าคลินิกมีสติกเกอร์ Certified Injector 

3. คลินิกมีใบ Certified Injector ของแพทย์ที่ผ่านการอบรมจาก Radiesse

4. สามารถสแกนสติกเกอร์ Merz Check ที่ติดไว้บนกล่องผลิตภัณฑ์ได้

5. หลังเข้ารับบริการจะได้รับ Skin Rejuvenation Card เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นของแท้จากบริษัท Merz Aesthetics

c512ada4 86d5 40f2 841b 377c727e71a6
167a724e f904 476c b6a2 d062c6e9a19e
75146127 9bac 4e54 b6fc 7b0c057e9859

การเตรียมตัวก่อนทำ 

– เลือกใช้บริการคลินิกที่มีมาตรฐาน สะอาด ปลอดภัยและมีเลขที่จดแจ้งชัดเจน

– แจ้งประวัติโรคประจำตัวและประวัติการแพ้ยาต่างๆให้แพทย์ทราบโดยละเอียด

– ประมาณ 3-7 วันก่อนฉีด ควรงดทานยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน รวมไปถึงวิตามิน หรือยาสมุนไพรต่างๆ เช่น แปะก๊วย เพราะอาจส่งผลทำให้เลือดไหลง่าย และเกิดอาการบวมช้ำได้ง่าย 

– งดการสครับ ขัดผิว หรือใช้ครีมผลัดเซลล์ผิวก่อนฉีด Radiesse 

การดูแลตัวเองหลังทำ

– งดการออกกำลังกายหนักๆหลังฉีดประมาณ 24 ชั่วโมง

– หลีกเลี่ยงการโดนความร้อน ซาวน่า อบไอน้ำ หรือแสงแดดแรงๆประมาณ 24 ชั่วโมงหลังทำ

– งดการแต่งหน้าประมาณ 24 ชั่วโมงหลังทำ 

– หากมีอาการบวมช้ำสามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการลงได้

– งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด

สรุป

การฉีด Radiesse ช่วยในการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความปลอดภัยสูง สามารถกระตุ้นสร้างคอลลาเจนได้สูงสุดถึง 24 เดือน ให้ผิวชุ่มชื้น ดูอิ่มฟู และอ่อนเยาว์ลงกว่าที่เคย หากท่านไหนที่สนใจสามารถทักแชทเข้ามาปรึกษาหมอก่อนได้ครับ

ถ้าคุณกำลังรู้สึกไม่มั่นใจเพราะปัญหา “หลุมสิว” ที่ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า แม้สิวจะหายไปแล้ว บทความนี้หมออยากชวนคุณมาเข้าใจลึกถึงต้นเหตุของหลุมสิวว่าทำไมมันถึงไม่หายไปเอง และการรักษาแบบไหนถึงจะได้ผลจริง ปลอดภัย และไม่เสียเวลาเปล่า

เพราะหลุมสิวแต่ละประเภท มีโครงสร้างผิวที่เสียหายแตกต่างกัน การรักษาจึงต้องใช้เทคนิคที่แม่นยำเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ TCA CROSS หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง RF Microneedling (Sylfirm X Plus) และการตัดพังผืดใต้ผิว

หมอจะพาไปรู้จักทั้งสาเหตุ วิธีรักษา ข้อควรระวัง ราคา รวมถึงการเลือกคลินิกให้ปลอดภัยทุกขั้นตอน
อ่านจบ คุณจะเข้าใจหลุมสิวแบบลึกแต่เข้าใจง่าย และพร้อมตัดสินใจได้อย่างมั่นใจครับ

หลุมสิวคืออะไร?

หลุมสิว” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อย และมักจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือหลังจากการอักเสบของสิวหายไปแล้วครับ หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นแค่ “รอยสิว” แต่จริงๆ แล้ว หลุมสิว (Acne Scar) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นร่องหรือหลุมลงไปในผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้นถูกทำลายอย่างถาวร ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เหมือนเดิม

หลุมสิวต่างจากรอยสิวทั่วไปยังไง?

รอยสิวธรรมดา มักจะเป็นแค่สีแดงหรือน้ำตาลจากการอักเสบ ซึ่งสามารถจางหายได้เองตามเวลา หรืออาจเร่งการฟื้นฟูด้วยยาทาและการดูแลผิวที่เหมาะสม

แต่หลุมสิว คือรอยแผลที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิว โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวหนองขนาดใหญ่ หากกดหรือแกะสิวแรงๆ ก็ยิ่งเสี่ยงทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อผิวลึกลงไปจนกลายเป็นหลุมครับ

ลักษณะของหลุมสิวมีกี่แบบ?

หลุมสิวมีหลายลักษณะ และแต่ละแบบจะตอบสนองต่อการรักษาต่างกันไป หมอขอเล่าให้เข้าใจคร่าวๆ ก่อนนะครับ (รายละเอียดเจาะลึกแต่ละประเภทจะอยู่ในหัวข้อถัดไป)

  1. หลุมสิวแบบหลุมเข็ม (Ice Pick Scar) – ลึก แคบ เป็นเหมือนรูเข็ม
  2. หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar Scar) – ขอบชัด ลึกปานกลาง เป็นเหลี่ยมๆ คล้ายกล่อง
  3. หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling Scar) – ขอบไม่ชัด ผิวเป็นคลื่นๆ ดูลึกแต่ไม่ชัดเจน

หลุมสิวจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างผิวที่ถูกทำลายลงไปด้วยครับ การรักษาที่ได้ผลจึงต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ลงลึกถึงชั้นผิว เช่น การใช้เลเซอร์, คลื่นพลังงาน หรือหัตถการเฉพาะทาง ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป

หลุมสิวเกิดจากอะไร?

จริงๆ แล้วหลุมสิวไม่ได้เกิดจาก “สิว” เพียงอย่างเดียวครับ แต่เกิดจากกระบวนการ ฟื้นฟูตัวเองของผิว หลังจากการอักเสบที่รุนแรงของสิว ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้ฟื้นฟูได้สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิด “ร่องลึก” หรือ “หลุม” ขึ้นแทนที่เนื้อเยื่อเดิมที่ถูกทำลาย

สาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมสิว

  1. การอักเสบของสิวที่ลุกลามลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) สิวอักเสบ โดยเฉพาะสิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์ มักทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ผิว เมื่อลดการอักเสบลดลง ผิวจะพยายามซ่อมแซมตัวเอง แต่ถ้าไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อได้พอ ก็จะเกิดเป็นหลุมสิวแทนครับ
  2. พฤติกรรมกดสิว แกะสิว หรือบีบสิวแรงๆ การกระทำเหล่านี้จะเร่งให้สิวอักเสบมากขึ้น และทำให้ผิวถูกทำลายลึกกว่าเดิม ส่งผลให้เนื้อเยื่อเสียหายมากขึ้น จนร่างกายซ่อมแซมได้ไม่เต็มที่
  3. การติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน เมื่อมีการอุดตันของไขมันในรูขุมขน ร่วมกับเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบลึกและส่งผลต่อชั้นโครงสร้างผิว
  4. พันธุกรรมและปัจจัยผิวเฉพาะบุคคล บางคนถึงแม้จะเป็นสิวไม่รุนแรง แต่ก็มีแนวโน้มเกิดหลุมสิวได้ง่ายกว่าคนอื่น อันนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างผิวและกลไกการสร้างคอลลาเจนครับ

ทำไมบางคนเป็นหลุมสิวง่ายกว่าคนอื่น?

จากประสบการณ์ของหมอเอง สำหรับคนที่ ผิวบาง, ผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาคอลลาเจนอยู่แล้ว คนที่ ไม่รักษาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปล่อยให้อักเสบลุกลาม หรือแม้แต่คนที่ ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิว จนทำให้สิวแย่ลง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหลุมสิวได้ง่ายขึ้นครับ

หลุมสิวมีกี่ประเภท?

หลุมสิวไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันหมดนะครับ แต่ละแบบมีความลึก ความกว้าง และโครงสร้างของผิวที่เสียหายต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อวิธีการรักษาโดยตรง ในทางการแพทย์ เราแบ่งหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้ครับ

1. หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

2. หลุมสิวแบบ Boxcar Scar

3. หลุมสิวแบบ Rolling Scar

วิธีสังเกตหลุมสิวแต่ละประเภท (เบื้องต้น)

รักษาหลุมสิวยังไงให้ได้ผลจริง?

การรักษาหลุมสิวให้ได้ผลจริง จำเป็นต้องอิงกับ “ประเภทของหลุม” และ “ระดับความลึกของปัญหา” เป็นหลักครับ เพราะหลุมสิวแต่ละแบบตอบสนองต่อวิธีรักษาไม่เหมือนกันเลย

ในปัจจุบัน การรักษาหลุมสิวที่ได้ผลชัดเจนที่สุดมักเป็นการรักษาโดยแพทย์ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทาง ซึ่งสามารถลงลึกถึงโครงสร้างผิวที่เสียหายและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้โดยตรง

แนวทางการรักษาทางการแพทย์

  1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว (Laser Resurfacing) ใช้เลเซอร์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจน เช่น
    • Fractional CO2 Laser: ตอบโจทย์หลุมสิวแบบ Boxcar และ Rolling
    • Erbium YAG: สำหรับผิวบาง ลดรอยแดงหลังทำ
    • Pico Laser (PicoSure, PicoWay): เจ็บน้อยกว่า และช่วยเรื่องรอยร่วมด้วย
  2. RF Microneedling (เช่น Sylfirm X Plus, Secret RF) เป็นการใช้คลื่นวิทยุร่วมกับเข็มขนาดเล็ก เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในระดับลึก และทำลายพังผืดใต้หลุมสิว เหมาะมากสำหรับ Rolling และ Boxcar Scar ข้อดีเจ็บน้อยกว่าเลเซอร์, ฟื้นตัวไว, ปลอดภัยกับทุกสีผิว
  3. TCA CROSS หยดกรด TCA ลงในหลุมสิวแบบ Ice Pick โดยตรง เพื่อให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในตำแหน่งนั้นโดยเฉพาะ เหมาะกับหลุมลึกๆ แบบ Ice Pick ที่เลเซอร์แก้ไม่ไหว ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น เพราะถ้าเข้าผิวข้างเคียงอาจเกิดรอยไหม้ได้
  4. Subcision (ตัดพังผืดใต้หลุมสิว)
    ใช้เข็มปลายทู่สอดเข้าใต้ผิว แล้วตัดพังผืดที่ยึดผิวไว้ไม่ให้เรียบ เหมาะกับ Rolling Scar และหลุมที่มีพังผืดดึงรั้ง ทำคู่กับฟิลเลอร์หรือ RF Microneedling จะยิ่งเห็นผลไว
  5. ฟิลเลอร์ (Filler) ใช้เติมเต็มใต้หลุมสิวที่ลึกและเป็นพังผืด เช่น Rolling หรือ Boxcar คุณหมออาจใช้ฟิลเลอร์ชั่วคราวเพื่อประเมินผลก่อนเข้าสู่การรักษาถาวร

รักษาหลุมสิวด้วยวิธีธรรมชาติ ได้ไหม?

โดยทั่วไป วิธีธรรมชาติอย่างเช่นทาเซรั่มวิตามินซี หรือกรดผลไม้ (AHA/BHA) อาจช่วยผลัดผิว และลดรอยตื้นๆ ได้เล็กน้อยครับ แต่ไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวลึกๆ ที่เสียหายแล้วได้แบบการรักษาทางการแพทย์

การเลือกวิธีรักษาให้เหมาะกับหลุมสิวแต่ละประเภท

แม้จะมีเทคโนโลยีหลากหลาย แต่หากเลือกวิธีไม่เหมาะกับชนิดของหลุม ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ชัด หรือเสียเวลาโดยไม่จำเป็นครับ

1. Ice Pick Scar (หลุมสิวลึกเป็นรูเข็ม)

ลักษณะ: รูเล็กและลึก คล้ายถูกเจาะด้วยเข็ม
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:

หมายเหตุ: Ice Pick เป็นชนิดที่รักษายากที่สุด ต้องอาศัยความต่อเนื่องและเทคนิคเฉพาะทาง

2. Boxcar Scar (หลุมมีขอบชัด กว้างและลึกปานกลาง)

ลักษณะ: หลุมเหลี่ยม ขอบชัด ผิวดูขรุขระ
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:

กรณีผิวบาง/แพ้ง่าย ➜ ควรใช้พลังงานต่ำ หรือใช้เลเซอร์ชนิดไม่ลอกผิว เช่น Pico หรือ Non-Ablative Laser

3. Rolling Scar (หลุมสิวเป็นคลื่น ไม่มีขอบชัด)

ลักษณะ: ผิวเป็นคลื่น ดูไม่เรียบเมื่อกระทบแสง
รักษาให้ได้ผล หมอแนะนำ:

Subcision ร่วมกับฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทำเลเซอร์เพียงอย่างเดียวในกรณี Rolling Scar​.

แนะนำเพิ่มเติม

การรักษาหลุมสิวแบบไหนเหมาะกับใครบ้าง?

การรักษาหลุมสิวไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคนหรือทุกเวลาเสมอไปนะครับ หมอจะช่วยวิเคราะห์ให้ชัดว่าใครบ้างที่เหมาะสม และในสถานการณ์ไหนควรเลี่ยงการรักษาชั่วคราว

อายุที่เหมาะสมในการรักษาหลุมสิว

จริงๆ แล้วการรักษาหลุมสิวสามารถทำได้ตั้งแต่ ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย จนถึงวัยผู้ใหญ่เลยครับ โดยทั่วไป หมอจะแนะนำให้เริ่มรักษาเมื่อ สิวหยุดอักเสบแล้วอย่างน้อย 3-6 เดือน สภาพผิวมีความเสถียร ไม่ไวต่อการอักเสบง่าย มีการพักผ่อน ดูแลผิว และสุขภาพโดยรวมที่ดี

คนที่ยังมีสิวอยู่ รักษาหลุมสิวได้ไหม?

ไม่แนะนำให้รักษาหลุมสิวในขณะที่ยังมีสิวอักเสบ ครับ เพราะการทำเลเซอร์หรือหัตถการบางชนิดอาจกระตุ้นการอักเสบหรือรบกวนผิวที่ยังไม่สมบูรณ์

สถานการณ์

ควรทำ

ไม่ควรทำ

ยังมีสิวอักเสบทุกสัปดาห์

❌ ไม่ควรรักษาหลุมสิว

✔️ รักษาสิวให้หายก่อน

มีรอยสิวกับหลุมสิว แต่ไม่มีสิวอักเสบใหม่

✔️ เริ่มรักษาหลุมสิวได้

❌ หลีกเลี่ยงถ้ายังระคายเคือง

ผิวแพ้ง่าย มีอาการลอกแดงบ่อย

❌ รอให้ผิวแข็งแรงก่อน

✔️ ประเมินโดยแพทย์

ผลลัพธ์จากการรักษาหลุมสิวเป็นอย่างไร?

การรักษาหลุมสิวสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้จริงครับ โดยเฉพาะเมื่อใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพผิว และรักษาต่อเนื่องตามแผนที่แพทย์วางไว้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หมออยากเน้นคือ “หลุมสิวดีขึ้นได้มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเรียบ 100% ทุกคน” ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความลึกของหลุม สิ่งที่เคยทำมาแล้ว และการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนครับ

ผิวเรียบขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน?

จากงานวิจัยปี 2023 ใน Journal of Dermatologic Surgery พบว่า

หมายเหตุ: การเห็นผลชัดเจนมักเริ่มจากครั้งที่ 2-3 ขึ้นไป ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วเรียบเลยครับ

ควรรักษากี่ครั้งถึงเห็นผล?

วิธีรักษา

จำนวนครั้งที่แนะนำ

ระยะห่างแต่ละครั้ง

เลเซอร์ CO2 / Er:YAG

3–5 ครั้ง

ทุก 4–6 สัปดาห์

RF Microneedling

3–6 ครั้ง

ทุก 3–4 สัปดาห์

TCA CROSS

2–5 ครั้ง

ทุก 4 สัปดาห์

Subcision + ฟิลเลอร์

1–2 ครั้ง

ห่างกัน 6 เดือน

หลุมสิวรักษาหายขาดได้ไหม?

หลุมสิวไม่สามารถหายขาด 100% ได้ในทุกกรณี แต่สามารถ “ดีขึ้นอย่างชัดเจน” จนแต่งหน้าไม่ติดร่อง หรือไม่เห็นหลุมเมื่อถ่ายรูป หมอมีคนไข้หลายคนที่ผิวดีขึ้นจนไม่ต้องแต่งหน้ากลบ หรือไม่รู้สึกเสียความมั่นใจอีกต่อไปเลยครับ

ขั้นตอนการรักษาหลุมสิวโดยแพทย์

การรักษาหลุมสิวไม่ได้เป็นแค่การยิงเลเซอร์แล้วจบในครั้งเดียวนะครับ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผน ร่วมมือ และติดตามผลระยะยาว โดยมีขั้นตอนดังนี้ครับ:

1. การประเมินผิวและวางแผนการรักษา

ตัวอย่างเช่น คนที่มีหลุม Ice Pick และ Rolling พร้อมกัน อาจได้แผนรักษาแบบ TCA CROSS + Subcision + RF Microneedling ควบคู่กัน

2. เตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา

3. ขั้นตอนระหว่างทำ

ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือก

4. หลังการรักษา

หมอจะนัดติดตามผลทุก 3–4 สัปดาห์ เพื่อปรับแผนหากจำเป็น

การดูแลผิวหลังรักษาหลุมสิว

หลังจากรับการรักษาหลุมสิว ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ RF หรือหัตถการอื่นๆ ผิวของเราจะอยู่ในภาวะที่บอบบางและต้องการการฟื้นฟูอย่างอ่อนโยน หมอขอแนะนำขั้นตอนการดูแลอย่างถูกต้องตามนี้ครับ

ข้อควรระวังหลังทำเลเซอร์หรือหัตถการ

  1. งดแต่งหน้า 1–3 วันแรก โดยเฉพาะหลังเลเซอร์หรือ RF เพราะรูขุมขนยังเปิดและผิวบอบบาง
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเข้มงวด 1–2 สัปดาห์ แนะนำให้ใส่หมวกปีกกว้าง, ใส่หน้ากาก, ทาครีมกันแดดแบบ Physical (เช่น Zinc oxide, Titanium dioxide)
  3. งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกหรือร้อนจัด เช่น ซาวน่า วิ่งกลางแดด หรือออกกำลังกายหนักใน 48 ชม. แรก
  4. หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่ระคายเคืองผิว เช่น AHA, BHA, Retinol, Vitamin C ความเข้มข้นสูง

สกินแคร์ที่ควรใช้หลังการรักษา

พฤติกรรมที่ช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น

แนะนำเพิ่มเติม: ช่วง 7 วันหลังการรักษา คือ “ช่วงทองของการฟื้นฟูผิว” ยิ่งดูแลดีเท่าไหร่ โอกาสที่ผิวจะเรียบ สม่ำเสมอ และรอยแดงหายไวก็จะยิ่งสูงครับ

รักษาหลุมสิวราคาเท่าไหร่?

ราคาการรักษาหลุมสิวอาจมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เทคโนโลยีที่ใช้ ประสบการณ์ของแพทย์ และจำนวนครั้งที่ต้องทำเพื่อให้เห็นผลชัดเจนครับ

ราคา/ครั้ง (บาท)

วิธีรักษา

หมายเหตุ

Fractional CO2 Laser

3,000 – 8,000

ยิ่งคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ ราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อย

RF Microneedling (เช่น Sylfirm X, Secret RF)

6,000 – 15,000

ปลอดภัยกับทุกสีผิว เหมาะกับ Rolling / Boxcar

TCA CROSS

1,000 – 3,000

ราคาต่อจุด หรือคอร์สรวมหลายจุด

Subcision (ตัดพังผืด)

5,000 – 12,000

อาจรวมยาชาและค่าบริการแพทย์

ฟิลเลอร์หลุมสิว (Dermal Filler)

8,000 – 18,000 / 1 cc

เห็นผลเร็ว แต่ผลอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

หลุมสิวมีอันตรายไหม?

ในแง่ของ “ตัวหลุมสิว” เองนั้น ไม่ใช่ภาวะอันตราย ครับ แต่สิ่งที่อาจเป็นปัญหาคือ “ผลกระทบต่อจิตใจ” เช่น ความไม่มั่นใจ หรือความเครียดจากรูปลักษณ์ และที่สำคัญคือ ผลข้างเคียงจากการรักษา หากทำโดยไม่มีความรู้หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาหลุมสิว

  1. ผิวไหม้ / รอยดำถาวร (PIH) มักเกิดจากเลเซอร์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป โดยเฉพาะกับผิวสีคล้ำ
  2. ติดเชื้อหลังทำหัตถการ หากทำในสถานที่ที่ไม่สะอาด หรือดูแลหลังทำไม่เหมาะสม
  3. อาการแพ้หรือระคายเคือง บางคนอาจแพ้ยาชา หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังเลเซอร์
  4. รอยแผล หรือหลุมแย่ลง เกิดได้จากการทำหัตถการแบบผิดเทคนิค เช่น TCA CROSS ที่หยดเกินขอบหลุม หรือ Subcision ที่ไม่แม่นยำ

รักษาหลุมสิวครั้งแรก เห็นผลเลยไหม?

บางคนอาจรู้สึกผิวเรียบขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ครั้งแรก โดยเฉพาะหากทำ Subcision หรือฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย แต่โดยทั่วไปแล้ว…การเปลี่ยนแปลงชัดเจนจะเริ่มเห็น หลังการรักษา 2–3 ครั้งขึ้นไป

เนื่องจากผิวต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 4–8 สัปดาห์ต่อรอบ ขึ้นกับแต่ละเทคนิค

ควรรักษาหลายครั้งไหมถึงจะเห็นผลชัดเจน?

วิธีรักษา

ระยะเวลาเริ่มเห็นผล

จำนวนครั้งที่แนะนำ

เลเซอร์ CO2 / Er:YAG

4–6 สัปดาห์

3–5 ครั้ง

RF Microneedling (Sylfirm X)

3–4 สัปดาห์

3–6 ครั้ง

TCA CROSS

1 เดือน

2–5 ครั้ง

Subcision + ฟิลเลอร์

เห็นผลบางส่วนทันที

1–2 ครั้ง

ฟิลเลอร์เดี่ยว

เห็นผลทันที

อยู่ได้นาน 6–12 เดือน

สรุป

หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการอักเสบลึกของสิวจนผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ไม่ทัน ส่งผลให้เกิดร่องลึกที่รักษาเองไม่ได้ การรักษาที่ได้ผลต้องอิงกับประเภทของหลุม เช่น Ice Pick, Boxcar หรือ Rolling โดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์, RF Microneedling (Sylfirm X Plus), Subcision หรือ TCA CROSS ร่วมกับการดูแลผิวหลังทำอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนหลัง 2–3 ครั้งขึ้นไป ที่สำคัญควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ มีใบรับรอง และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้ปลอดภัยและได้ผลจริง Smooth Clinic ยินดีให้บริการครับ

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นเทคนิควิธีทางการแพทย์ที่ใช้ฟิลเลอร์หรือสารไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyarulonic Acid) ที่มีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นและช่วยในการเติมเต็ม ฉีดเข้าไปยังใต้ชั้นผิวบริเวณใต้ตาเพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตาต่างๆให้ดีขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ใต้ตาแก้ไขปัญหาอะไรบ้าง

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆบริเวณรอบดวงตา ไม่ว่าจะเป็น

– ช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาลึก โบ๋ เกิดจากโครงสร้างกระดูกใต้ตายุบตัวลง รวมถึงการสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ชั้นผิวเมื่อเราอายุมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มให้บริเวณใต้ตาดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งในการเติมเต็มและเสริมฐานกระดูกใต้ตาให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น จากนั้นใช้ฟิลเลอร์เนื้ออ่อนในการเติมเต็มให้ผิวมีความเรียบเนียนขึ้น

– ช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ซึ่งปัญหานี้เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกันเช่น เป็นภูมิแพ้ กรรมพันธุ์ อายุที่มากขึ้น ผิวที่บางลง พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น โดยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยปรับให้ปัญหาใต้ตาคล้ำดูสว่างขึ้นได้

– ช่วยแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย มีชั้นไขมันใต้ชั้นผิว ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิว กระดูกเบ้าตาทรุดตัวลง เยื่อหุ้มไขมันใต้ตาหย่อนคล้อย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเข้าไปเติมเต็มบริเวณที่มีการยุบตัวลงให้ดูเต็มขึ้น ปัญหาถุงใต้ตาดูดีขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ลง

– ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วเล็กๆรอบดวงตา ผิวดูเหี่ยวย่น ไม่กระชับ เกิดจากอายุที่มากขึ้น ร่างกายมีการผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มริ้วเล็กๆให้ตื้นขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ให้ดูอิ่มฟูยิ่งขึ้น

efrte5yerer4
No1

ฉีดฟิลเลอร์ใต้เป็นก้อนจริงไหม

หลักสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ดีควรให้ผลลัพธ์ที่ดูเรียบเนียน เป็นธรรมชาติ และไม่เป็นก้อน ทั้งขณะที่ทำหน้าปกติ หรือแม้แต่ตอนที่แสดงสีหน้า เช่น ตอนยิ้มต้องไม่เห็นเป็นก้อนเป็นลำ ที่ Smooth Clinic หมอจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นบริเวณที่จะเกิดปัญหาได้ง่ายหากมีการฉีดฟิลเลอร์ตื้นจนเกินไปหรือมีการใช้ฟิลเลอร์ผิดประเภท ทำให้ในการรักษาแต่ละเคสหมอจะทำการประเมินรูปหน้าและปัญหาของแต่ละบุคคลอย่างละเอียดเพื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และวิธีการรักษาที่เหมาะกับคนไข้แต่ละท่าน

ฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

การเลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรเลือกจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่

– เลือกใช้บริการคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและมีเลขที่ใบอนุญาตชัดเจน

– เลือกใช้บริการคลินิกที่สะอาด มีการทำความสะอาดเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ เพื่อความปลอดภัย และป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อ

– เลือกทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ แพทย์มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ รู้จักตำแหน่งและสรีระของรูปหน้าเป็นอย่างดี เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

– ดูรีวิวของคลินิกว่าคนไข้ที่ผ่านมาว่าแต่ละคนมีปัญหาอะไร และการแก้ไขที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อดูว่าผลลัพธ์และแนวการรักษาของหมอตรงตามที่เราต้องการไหม หรือดูรีวิวความประทับใจจากผู้ใช้บริการตามเพจ หรือรีวิวบน Google ได้

– เลือกคลินิกที่มีการใช้ฟิลเลอร์แท้ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา สามารถตรวจเช็กฟิลเลอร์ได้ด้วยตนเองและมีการเปิดกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า

– เลือกใช้บริการคลินิกที่คอยติดตามอาการหลังจากการรักษา สามารถให้คำปรึกษาได้ดีทั้งก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ ในบางท่านที่มีผิวบอบบาง บวมช้ำง่าย ช่วงแรกอาจมีอาการบวมแดงได้บ้าง ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเองประมาณ 2-3 วัน และหลังจากฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์ โดยฟิลเลอร์จะเข้าที่และซึมซับเข้ากับผิวมากยิ่งขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีให้ฟิลเลอร์มีความอิ่มฟูและเข้าที่ได้ไวขึ้นแนะนำดื่มน้ำเยอะๆและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์ของหมอนะครับ

ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานไหม

โดยปกติแล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกันทั้ง ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ตามแต่ละเทคโนโลยีการผลิต เทคนิคของแพทย์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ความลึกตื้นของตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์ การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละท่าน ทำให้แต่ละท่านที่ฉีดฟิลเลอร์ได้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานไม่เท่ากัน

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถแก้ไขปัญหาใต้ตาได้อย่างหลากหลาย เช่น แก้ไขปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา เป็นต้น โดยจุดสำคัญในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ดีควรให้ผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์ที่ได้จะต้องมีความเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน ทั้งในขณะที่ทำหน้าปกติ หรือแม้แต่ตอนแสดงสีหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีควรเลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีคุณภาพ เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ และทำการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์

เผยใต้วงแขนเนียนใสไร้ขนอย่างมั่นใจด้วยการเลเซอร์ขนรักแร้ วิธีกำจัดขนรักแร้ที่มีประสิทธิภาพสูง

กำจัดขนได้ลึกถึงรากขนโดย ไม่ทำร้ายผิว สามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร ไม่ต้องโกนขนบ่อยๆ หมดปัญหาขนคุด เป็นตอขน หรือตุ่มหนังไก่ ใครที่กำลังสนใจอยากจะเลเซอร์ขนรักแร้แนะนำลองอ่านบทความนี้เลย 

เลเซอร์ขนรักแร้ ช่วยอะไรบ้าง

การทำเลเซอร์ขนรักแร้นอกจากจะช่วยในการกำจัดขนรักแร้ได้อย่างดีแล้ว ยังมีข้อดีอื่นๆอีกมากเช่น

– ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของรากขน ทำให้ขนขึ้นช้า และบางลง ไปจนถึงสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร

– ช่วยให้ผิวบริเวณรักแร้ดูเรียบเนียนขึ้น เพิ่มความมั่นใจ กล้าที่จะโชว์ผิวใต้วงแขน และแต่งตัวได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องคอยเป็นกังวลปัญหาขน

– ช่วยลดปัญหาต่างๆที่เกิดจากการกำจัดขนแบบผิดวิธี เช่น ลดปัญหาขนคุด ตอขน และตุ่มหนังไก่

– ช่วยลดปัญหาเหงื่อและกลิ่นกายที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อปริมาณขนบริเวณรักแร้ลดลงจะช่วยลดปัญหาเหงื่อและกลิ่นกายได้บางส่วน

– สะดวกสบาย ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน และไม่ต้องกำจัดขนบ่อยครั้งเหมือนการโกนขน 

เลเซอร์ขนรักแร้ แบบไหนดี

สำหรับคนที่กำลังสนใจที่จะทำเลเซอร์ขนรักแร้คงเห็นมาหลายที่แล้วว่ามีเครื่องเลเซอร์อยู่หลายแบบด้วยกัน ทำให้เกิดความสงสัยว่าเลเซอร์ขนรักแร้แบบไหนดีกว่ากัน โดยเครื่องที่นิยมใช้กันในปัจจุบันได้แก่ 

– Diode Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีหลากหลายความยาวคลื่น ปล่อยลำแสงสูงสามารถจับเม็ดสีเมลานินที่รากขนได้อย่างดี โดยไม่ทำร้ายผิว ซึ่งที่ Smooth Clinic จะใช้เป็นเทคโนโลยีกำจัดขน Diode ด้วยเครื่อง Primelase Excellence ที่มีการผสมผสานความยาวคลื่น 3 พลังงานด้วยกันคือ 810nm 940nm และ 1060nm สามารถกำจัดขนได้ทุกสภาพสีผิว ทุกสภาพเส้นขนจัดการกับขนอ่อนได้ดีและเจ็บน้อยกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่น 

– YAG Laser (Long Pulse ND Yag) เครื่องเลเซอร์พลังงานสูง ความลึกถึง 5-7 มิลลิเมตร กำจัดขนได้ลึกถึงรากขน โดยไม่ทำให้เกิดการไหม้ หรือการเบิร์นผิว หัวเลเซอร์ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการทำบริเวณเล็กๆ หรือบริเวณที่ต้องการความละเอียด สามารถทำได้ทุกสภาพผิว แต่จะมีความเจ็บมากที่สุดถ้าเทียบกับการรักษาด้วยวิธีอื่น

– IPL (Intense Pulsed Light) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงเข้มข้นสูงเพื่อกำจัดขน ซึ่ง IPL จะไม่ใช่เลเซอร์ดังนั้นจะไม่ได้มีความจำเพาะและแม่นยำต่อเส้นขนเหมือนกับเลเซอร์ ผลการรักษาจึงด้อยกว่าการใช้เลเซอร์ รวมถึงมีโอกาสเกิดผิวไหม้เป็นรอยดำได้มากกว่า

เลเซอร์ขนรักแร้ ราคา

ราคาของการเลเซอร์ขนรักแร้ในแต่ละที่จะแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของเครื่องที่ใช้ ซึ่งที่ Smooth Clinic จะมีราคาเลเซอร์ขนรักแร้ดังนี้

สามารถสอบถามโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มเติมได้ทาง Smooth Clinic

เลเซอร์ขนรักแร้ กี่ครั้งเห็นผล

การทำเลเซอร์ขนแร้จะเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยหลังจากเลเซอร์ขนจะค่อยๆหลุดร่วงไปตามวงจรของขน และจะสังเกตได้ว่าขนที่ขึ้นใหม่บางลงและขึ้นช้าลง

โดยหากต้องการกำจัดขนอย่างถาวรอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการทำต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 5-8 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปริมาณของเส้นขน ความเข้มของเส้นขน สีผิว และเครื่องเลเซอร์ที่เลือกใช้

เลเซอร์ขนรักแร้ เจ็บไหม

การเลเซอร์ขนรักแร้อาจจะมีความรู้สึกร้อนเบาๆ และบางจุดที่มีเส้นขนเยอะอาจรู้สึกแปล๊บๆขณะทำได้บ้าง เหมือนหนังยางดีด แต่จะไม่เจ็บมาก โดยเครื่องเลเซอร์ Primelase ที่ใช้ในคลินิกจะมีระบบความเย็น และลงเจลเย็นให้ตอนทำซึ่งจะช่วยลดความร้อนและความรู้สึกเจ็บระหว่างทำได้ และจะเจ็บน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องเลเซอร์ชนิดอื่นๆ เช่น การทำเลเซอร์ YAG หรือ IPL

การเตรียมตัวก่อนเลเซอร์ขนรักแร้

– งดการสครับผิวบริเวณรักแร้ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลัดเซลล์ผิวบริเวณรักแร้ก่อนการทำเลเซอร์ประมาณ 2 สัปดาห์

– หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือผิวบริเวณที่ต้องการเลเซอร์รับแสงแดดแรงๆโดยตรง ก่อนการทำเลเซอร์ประมาณ 2 สัปดาห์

– ห้ามถอนหรือแว็กซ์ขนรักแร้ก่อนมาทำเลเซอร์

– งดการใช้โรลออนหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายก่อนมาทำเลเซอร์

การดูแลหลังทำเลเซอร์รักแร้

– งดการอาบน้ำร้อน หรือทำกิจกรรมอื่นๆที่ต้องโดนความร้อนเช่น การซาวน่า อบไอน้ำ ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังทำ

– งดการสครับรักแร้หลังทำประมาณ 1-2 สัปดาห์

– งดการใช้โรลออนหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประมาณ 2-3 วันหลังทำ

– งดการถอนหรือแว็กซ์ขนรักแร้ หากมีขนขึ้นใหม่สามารถที่จะโกนขนได้

– หากมีอาการแดงหลังจากเลเซอร์ สามารถประคบเย็นหรือทายาที่ช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองได้

– ไม่ควรที่จะทำเลเซอร์ถี่จนเกินไป ควรเว้นระยะห่างที่เหมาะสมประมาณ 3-4 สัปดาห์ครั้ง

สรุป

การเลเซอร์ขนรักแร้สามารถกำจัดขนรักแร้ได้อย่างถาวร และยังช่วยลดปัญหาผิวที่เกิดจากการกำจัดขนอย่างผิดวิธี เช่น ตุ่มหนังไก่ ขนคุด ตอขน ทำให้หลังทำเลเซอร์รักแร้เรียบเนียนขึ้นได้

โดยราคาของเลเซอร์ขนรักแร้ของแต่ละคลินิกนั้นจะแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ การเลือกใช้เครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการและปัญหาของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ สามารถที่จะปรึกษาหมอเพิ่มเติมก่อนได้ครับ