ฟิลเลอร์ Flore มีกี่รุ่น ดีจริงไหม ต่างจากตัวอื่นยังไง

ฟิลเลอร์ Flore เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิคแอซิด (HA) จากประเทศฝรั่งเศสที่เริ่มได้รับความนิยมในประเทศไทย ด้วยจุดเด่นเรื่องเนื้อเจลที่นุ่ม ฟู และกระจายตัวได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้ฉีดในบริเวณที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูง เช่น ใต้ตา ขมับ หรือร่องเล็กๆ บนใบหน้า

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับฟิลเลอร์ Flore อย่างละเอียด ตั้งแต่รุ่นที่มี วิธีเลือกใช้ จุดที่เหมาะสม รีวิวผลลัพธ์ และเปรียบเทียบกับแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากที่สุด

สารบัญ hide

ฟิลเลอร์ Flore คืออะไร?

Flore เป็นฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีโครงสร้างแบบ cross-linked ผลิตจากประเทศฝรั่งเศส ได้รับการรับรองมาตรฐาน CE ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ของยุโรป ใช้สำหรับฉีดเติมเต็มและปรับรูปหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ คาง และกรอบหน้า โดยขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น

จุดเด่นของฟิลเลอร์ Flore คือเนื้อเจลมีความเนียนละเอียด ไม่เป็นก้อนง่าย กระจายตัวได้ดี เหมาะสำหรับทั้งการเติม volume และการฟื้นฟูผิวแบบธรรมชาติ มีหลายรุ่นให้เลือกตามความเหมาะสมของจุดที่ฉีดและผลลัพธ์ที่ต้องการ

ฟิลเลอร์ Flore มีจำหน่ายในหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้และไทย ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมในคลินิกความงามที่เน้นงานละเอียด งานธรรมชาติ และการฟื้นฟูแบบ soft contour มากขึ้น

Flore Aqua‑S คืออะไร? ต่างจาก Flore รุ่นอื่นยังไง?

Flore Aqua‑S เป็นรุ่นที่เนื้อเจลบางที่สุดในไลน์ของฟิลเลอร์ Flore ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในชั้นผิวตื้น เช่น ใต้ตา ริ้วรอยเล็ก หรือบริเวณที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูง โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับ Skin Booster แต่ยังคงเป็น dermal filler ที่มีโครงสร้างแบบ cross-linked

จุดเด่นของรุ่น Aqua‑S คือเนื้อเจลเบา นุ่ม กระจายตัวดี และไม่เป็นก้อนง่าย เหมาะสำหรับการเติมเต็มเลเยอร์ตื้นๆ ของผิว หรือในบริเวณที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น ใต้ตา ขอบปาก หรือร่องน้ำหมากตื้นๆ

ความแตกต่างจาก Flore รุ่นอื่น เช่น N, Max หรือ Max 1400 อยู่ที่ความหนาแน่นและความยืดหยุ่นของเนื้อเจล ซึ่งในรุ่นอื่นๆ จะมีความหนาแน่นมากกว่า เหมาะสำหรับการยกกระชับหรือปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น แก้ม ขมับ คาง หรือกรอบหน้า

ดังนั้น Flore Aqua‑S แม้จะอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์ แต่ถูกนำมาใช้ในจุดประสงค์ใกล้เคียงกับ Skin Booster คือคืนความชุ่มชื้น ฟื้นฟูสภาพผิว และให้ผลลัพธ์ที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ

Flore มีกี่รุ่น? แต่ละรุ่นใช้จุดไหน?

ฟิลเลอร์ Flore มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างด้านความหนืด ความคงตัว และจุดประสงค์ในการใช้งาน โดยสามารถเลือกให้เหมาะกับบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าได้ดังนี้

  1. Flore Aqua‑S – เนื้อเจลบางที่สุดในไลน์ ใช้สำหรับฉีดผิวชั้นตื้น เช่น ใต้ตา ริ้วรอยเล็ก มุมปาก
  2. Flore S – เจลมีความข้นขึ้นจาก Aqua‑S เล็กน้อย เหมาะกับร่องน้ำหมาก ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก
  3. Flore N – ความหนืดระดับกลาง ใช้เติมเต็มร่องลึกทั่วไป เช่น ร่องแก้ม มุมปาก หรือขมับ
  4. Flore Max – เจลหนาแน่น เหมาะกับการยกกระชับใบหน้า เติมคาง ปรับแก้มส้ม
  5. Flore Max 1400 – ความหนืดสูงที่สุดในกลุ่ม ใช้สำหรับงานสร้างโครงหน้า เช่น คาง กรอบหน้า ขมับ

แต่ละรุ่นมีปริมาณไฮยาลูโรนิคแอซิด 20 mg/ml ผสม Lidocaine 0.3% เพื่อช่วยลดความเจ็บขณะฉีด และผ่านการรับรอง CE จากยุโรปทั้งหมด

การเลือกใช้แต่ละรุ่นควรพิจารณาจากบริเวณที่ฉีด ความลึกของรอย และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสูตรให้เหมาะกับสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล

Flore ใช้กับใต้ตา แก้ม คาง ได้ไหม?

ฟิลเลอร์ Flore สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณบนใบหน้า แต่การเลือกใช้ควรพิจารณา “รุ่นของฟิลเลอร์” ให้เหมาะสมกับความลึกของชั้นผิวและลักษณะของปัญหาในแต่ละจุด

  • ใต้ตา: ใช้รุ่น Aqua‑S หรือ S ซึ่งเนื้อเจลมีความบาง เบา และกระจายตัวดี
  • แก้ม: ใช้รุ่น N หรือ Max เพื่อเติมเต็มและยกกระชับ
  • คาง: ใช้รุ่น Max หรือ Max 1400 เพื่อสร้างกรอบหน้าและความคมชัด

แม้ Flore จะเป็นฟิลเลอร์ที่มีหลากหลายรุ่นให้เลือก แต่การใช้ในแต่ละจุดควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

Flore ต่างจาก Juvederm, Restylane ยังไง?

ฟิลเลอร์ Flore, Juvederm และ Restylane ล้วนเป็นฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิคแอซิดแบบ cross-linked ที่ได้รับความนิยมสูงในคลินิกความงาม แต่แต่ละแบรนด์มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในด้านเนื้อเจล การกระจายตัว การคงรูป และความเหมาะสมกับบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า

  • Flore: จุดเด่นคือความนุ่ม เนื้อเจลละเอียด กระจายตัวดี เหมาะกับงานละเอียด งาน soft contour เช่น ใต้ตา ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก ขมับ แก้ม โดยเฉพาะรุ่น Aqua‑S และ S ให้ผลลัพธ์ที่ดูละมุนมากกว่ายี่ห้ออื่น
  • Juvederm: เป็นแบรนด์ที่มีความยืดหยุ่นสูง (elasticity) โดยเฉพาะรุ่น Voluma, Volift มีค่าความคงรูป (cohesiveness) ดี เหมาะกับการยกกระชับ เติมแก้มส้ม หรือคาง
  • Restylane: มีความหลากหลายใน texture และขนาดโมเลกุล ใช้เทคโนโลยี NASHA และ OBT เหมาะกับทั้งการเก็บรายละเอียดและปรับโครงสร้าง เช่น Restylane Lyft หรือ Defyne

สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกแบรนด์ไม่ได้อยู่ที่ “ดีกว่า” แต่อยู่ที่ “เหมาะกับจุดไหน/เนื้อผิวแบบใด” และ “แพทย์คุ้นเคยกับเจลแบบไหน” มากกว่า เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

เปรียบเทียบ Skin Booster: Belotero vs Skinvive vs Flore Aqua-s

ฟิลเลอร์กลุ่ม Skin Booster ได้รับความนิยมสูงในช่วงหลัง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวมากกว่าปรับโครงหน้า และทั้ง 3 แบรนด์ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบในบทความนี้คือ Belotero Revive, Juvederm Skinvive และ Flore Aqua‑S

  • Belotero Revive: เจลเนื้อละเอียดมาก มี HA + Glycerol ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งและริ้วรอยขนาดเล็ก เหมาะกับฉีดทั่วใบหน้า เน้นปรับ texture ผิวโดยเฉพาะ
  • Juvederm Skinvive: มีอนุภาค HA ค่อนข้างใหญ่ และออกแบบให้กระจายตัวช้า ใช้สำหรับฟื้นฟูชั้นผิวแบบลึกแต่ไม่เน้น volume จุดเด่นคือความฉ่ำวาวและชุ่มชื้นยาวนาน
  • Flore Aqua‑S: แม้เป็นฟิลเลอร์แบบ cross-linked แต่เจลบางและนุ่ม ใกล้เคียงกับ Skin Booster มาก เหมาะกับการฉีดบริเวณใต้ตา ร่องน้ำหมาก หรือผิวบางบริเวณที่ต้องการความละมุน

ทั้ง 3 ตัวนี้ไม่เน้นการปรับรูปหน้าแบบชัดเจน แต่เหมาะกับการเติมน้ำให้ผิว เติมความอิ่มฟู และฟื้นฟูริ้วรอยเล็กๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนไข้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบ “ผิวดีขึ้น” โดยไม่รู้สึกว่าไปทำอะไรมาชัดเจน

อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบ Skin Booster: Belotero vs Skinvive vs Flore ตัวไหนฉ่ำวาวจริง?

Flore ดีจริงไหม?

ฟิลเลอร์ Flore ได้รับรีวิวในแง่บวกจากแพทย์และคนไข้หลายราย โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการความละมุน เช่น ใต้ตา ขมับ หรือบริเวณที่ผิวบาง ซึ่งต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อเบาและกระจายตัวได้ดี

  • แพทย์หลายท่านให้ความเห็นว่า Flore รุ่น Aqua‑S และ S ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ลดความเสี่ยงการเป็นก้อน และเหมาะกับการเก็บรายละเอียด
  • จุดที่นิยมใช้ ได้แก่ ใต้ตา ขอบปาก ร่องน้ำหมาก และการเติมขมับที่ยุบเบาๆ เพื่อให้หน้าดูสดใสขึ้นโดยไม่แข็ง

โดยรวมแล้ว Flore เป็นฟิลเลอร์อีกแบรนด์หนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มคลินิกที่เน้น “งานธรรมชาติ” หรือ “ผลลัพธ์ที่ดูเหมือนไม่ได้ทำ” เหมาะกับทั้งเคสใหม่และผู้ที่ต้องการเติมซ้ำโดยไม่อยากให้ผิวแข็งหรือดูโป๊ะ

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีด Flore?

ฟิลเลอร์ Flore เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า หรือลดความเหนื่อยล้าของใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบาง หรือเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนแล้วต้องการความละมุนมากขึ้น

กลุ่มที่เหมาะกับการฉีด Flore:

  • ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึก ร่องน้ำหมาก หรือผิวดูอิดโรย
  • ผู้ที่ต้องการแก้โครงหน้าแบบ soft contour เช่น เติมขมับ คางแบบไม่แข็ง
  • ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วและต้องการเติมซ้ำในชั้นผิวตื้น
  • คนไข้ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ ไม่บวม ไม่แข็ง
  • ผู้ที่ไม่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนและต้องการเริ่มต้นแบบอ่อนโยน

กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์:

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร Hyaluronic Acid หรือส่วนผสมในฟิลเลอร์
  • ผู้ที่กำลังมีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือทำหัตถการบริเวณใบหน้าอื่นอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ยากลุ่มกดภูมิคุ้มกันบางชนิด

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายบุคคล

ขั้นตอนฉีด Flore และการดูแลหลังฉีด

การฉีดฟิลเลอร์ Flore เป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามขั้นตอนและคำแนะนำการดูแลทั้ง “ก่อน” และ “หลัง” ฉีดอย่างเหมาะสม

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ Flore:

  • ควรงดอาหารเสริมหรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา, แอสไพริน, NSAIDs อย่างน้อย 3–5 วันก่อนฉีด
  • พักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนวันหัตถการ และงดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • งดการแต่งหน้าในวันที่รับบริการ และควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับการฉีด
  • แจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยา แพ้ HA หรือเคยมีผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์มาก่อน
  • หากมีนัดทำหัตถการอื่น เช่น เลเซอร์ RF HIFU ควรเว้นระยะเวลาให้เหมาะสมหรือปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ Flore:

  1. แพทย์ประเมินใบหน้าและเลือกสูตรฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับปัญหาและโครงสร้างผิว
  2. ทำความสะอาดผิวและทายาชาบริเวณที่จะฉีด (Flore มี Lidocaine ผสมอยู่แล้ว)
  3. แพทย์ทำการฉีดฟิลเลอร์ตามเทคนิคเฉพาะจุด โดยใช้เข็มหรือ blunt cannula
  4. หลังฉีด แพทย์จะประคบเย็นเพื่อลดบวม และนัดติดตามผลตามความเหมาะสม

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ Flore:

  • ควรหลีกเลี่ยงการจับ/นวด/กดแรงบริเวณที่ฉีดในช่วง 24–48 ชม. แรก
  • งดการออกกำลังกายหนัก การซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงใน 1–2 วัน
  • ควรดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยให้เนื้อเจลฟิลเลอร์กักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีส่วนผสมระคายเคืองใน 24 ชม. แรก
  • หากมีอาการบวม ช้ำ หรือเจ็บเล็กน้อย ถือเป็นอาการปกติที่สามารถหายได้ใน 3–7 วัน
  • ควรกลับไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลลัพธ์ และตรวจดูความเรียบร้อยของชั้นผิว

เห็นผลเมื่อไหร่? อยู่ได้นานแค่ไหน?

ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ Flore สามารถสังเกตได้ทันทีหลังทำ โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกหรือฟื้นฟูผิวบริเวณใต้ตา อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนจะอยู่ในช่วง 3–7 วันหลังฉีด เมื่ออาการบวมและรอยช้ำจางลง

ระยะเวลาที่เห็นผล:

  • ทันทีหลังฉีด จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในระดับหนึ่ง
  • ภายใน 1 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะเริ่มกลมกลืนและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • ภายใน 1 เดือน เจลจะเซตตัวสมบูรณ์และเข้ากับผิวได้ดีที่สุด

ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้:

  • โดยเฉลี่ย 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ใช้ (Aqua‑S มักอยู่ได้สั้นกว่า Max)
  • ปัจจัยที่ส่งผลต่อความคงตัว เช่น
    • พื้นที่ที่ฉีด (บริเวณที่ขยับบ่อย เช่น ปาก มุมปาก จะสลายเร็วกว่า)
    • ระบบการเผาผลาญของแต่ละบุคคล
    • ปริมาณที่ฉีด และเทคนิคของแพทย์

Flore เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อเริ่มเห็นผลลดลง และควรอยู่ภายใต้การติดตามผลจากแพทย์เท่านั้น

Flore ราคาเท่าไหร่? มีโปรอะไรบ้าง?

ราคาของฟิลเลอร์ Flore อาจแตกต่างกันไปตามรุ่นที่ใช้ ปริมาณที่ฉีด และระดับความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยส่วนมากจะอยู่ในช่วงราคากลางถึงพรีเมียมเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ HA ทั่วไป

ช่วงราคาโดยประมาณ ไม่ใช่ราคาจากคลินิก โปรดสอบการก่อนรับบริการ:

  • Flore Aqua‑S / Flore S: 8,000 – 12,000 บาท/ซีซี
  • Flore N / Max: 10,000 – 15,000 บาท/ซีซี
  • Flore Max 1400: อาจสูงถึง 16,000 – 18,000 บาท/ซีซี

ราคานี้รวมถึงค่ายาชา ค่าหัตถการ และค่าประเมินโดยแพทย์แล้วในคลินิก ทั้งนี้ควรสอบถามราคาก่อนรับบริการ

คำแนะนำ: อย่าเลือกฉีดฟิลเลอร์เพียงเพราะราคาถูก ควรพิจารณาคุณภาพยา ประสบการณ์แพทย์ และการรับรองของคลินิกเป็นหลัก เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ Flore Filler

Q: Flore เป็นฟิลเลอร์ของประเทศอะไร?

A: Flore ผลิตในประเทศฝรั่งเศส ได้รับมาตรฐาน CE (Conformité Européenne) ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ของยุโรป

Q: ฟิลเลอร์ Flore ปลอมดูยังไง?

A: ของแท้จะมีกล่องซีลสนิท มี serial number, วันหมดอายุชัดเจน และควรฉีดโดยแพทย์ที่สามารถเปิดกล่องให้ดูต่อหน้าได้ก่อนฉีด

Q: ใต้ตาควรใช้ Flore รุ่นไหนดี?

A: รุ่นที่เหมาะกับใต้ตาคือ Aqua‑S หรือ S เนื่องจากเนื้อเจลบางและนุ่ม ลดความเสี่ยงการเป็นก้อนหรือบวมใต้ผิว

Q: อยู่ได้นานแค่ไหน?

A: โดยเฉลี่ย 6–12 เดือน ขึ้นกับรุ่นที่ใช้และลักษณะผิวของแต่ละบุคคล

Q: Flore เหมาะกับมือใหม่ไหม?

A: เหมาะมากสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นด้วยฟิลเลอร์ที่เนื้อบาง ละลายง่าย และผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

Q: เจ็บไหมตอนฉีด?

A: ในตัวฟิลเลอร์ Flore มีสาร Lidocaine ผสมอยู่แล้ว จึงช่วยลดอาการเจ็บได้มาก แพทย์มักทายาชาก่อนฉีดร่วมด้วย

บทสรุป

ฟิลเลอร์ Flore เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูละมุน เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในจุดที่ผิวบางหรือต้องการความละเอียดอ่อน มีรุ่นให้เลือกหลายแบบ รองรับทั้งการฟื้นฟูผิวและการปรับโครงหน้า

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ฟิลเลอร์ใด ๆ ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมเลือกสูตรและเทคนิคที่เหมาะกับปัญหาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด

smooth clinic logo light
Get This Treatment
ติดต่อเรา