
ฟิลเลอร์ Flore เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิคแอซิด (HA) จากประเทศฝรั่งเศสที่เริ่มได้รับความนิยมในประเทศไทย ด้วยจุดเด่นเรื่องเนื้อเจลที่นุ่ม ฟู และกระจายตัวได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้ฉีดในบริเวณที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูง เช่น ใต้ตา ขมับ หรือร่องเล็กๆ บนใบหน้า
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับฟิลเลอร์ Flore อย่างละเอียด ตั้งแต่รุ่นที่มี วิธีเลือกใช้ จุดที่เหมาะสม รีวิวผลลัพธ์ และเปรียบเทียบกับแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากที่สุด
Flore เป็นฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีโครงสร้างแบบ cross-linked ผลิตจากประเทศฝรั่งเศส ได้รับการรับรองมาตรฐาน CE ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ของยุโรป ใช้สำหรับฉีดเติมเต็มและปรับรูปหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ คาง และกรอบหน้า โดยขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น
จุดเด่นของฟิลเลอร์ Flore คือเนื้อเจลมีความเนียนละเอียด ไม่เป็นก้อนง่าย กระจายตัวได้ดี เหมาะสำหรับทั้งการเติม volume และการฟื้นฟูผิวแบบธรรมชาติ มีหลายรุ่นให้เลือกตามความเหมาะสมของจุดที่ฉีดและผลลัพธ์ที่ต้องการ
ฟิลเลอร์ Flore มีจำหน่ายในหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้และไทย ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมในคลินิกความงามที่เน้นงานละเอียด งานธรรมชาติ และการฟื้นฟูแบบ soft contour มากขึ้น
Flore Aqua‑S เป็นรุ่นที่เนื้อเจลบางที่สุดในไลน์ของฟิลเลอร์ Flore ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในชั้นผิวตื้น เช่น ใต้ตา ริ้วรอยเล็ก หรือบริเวณที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูง โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับ Skin Booster แต่ยังคงเป็น dermal filler ที่มีโครงสร้างแบบ cross-linked
จุดเด่นของรุ่น Aqua‑S คือเนื้อเจลเบา นุ่ม กระจายตัวดี และไม่เป็นก้อนง่าย เหมาะสำหรับการเติมเต็มเลเยอร์ตื้นๆ ของผิว หรือในบริเวณที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น ใต้ตา ขอบปาก หรือร่องน้ำหมากตื้นๆ
ความแตกต่างจาก Flore รุ่นอื่น เช่น N, Max หรือ Max 1400 อยู่ที่ความหนาแน่นและความยืดหยุ่นของเนื้อเจล ซึ่งในรุ่นอื่นๆ จะมีความหนาแน่นมากกว่า เหมาะสำหรับการยกกระชับหรือปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น แก้ม ขมับ คาง หรือกรอบหน้า
ดังนั้น Flore Aqua‑S แม้จะอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์ แต่ถูกนำมาใช้ในจุดประสงค์ใกล้เคียงกับ Skin Booster คือคืนความชุ่มชื้น ฟื้นฟูสภาพผิว และให้ผลลัพธ์ที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ Flore มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างด้านความหนืด ความคงตัว และจุดประสงค์ในการใช้งาน โดยสามารถเลือกให้เหมาะกับบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าได้ดังนี้
แต่ละรุ่นมีปริมาณไฮยาลูโรนิคแอซิด 20 mg/ml ผสม Lidocaine 0.3% เพื่อช่วยลดความเจ็บขณะฉีด และผ่านการรับรอง CE จากยุโรปทั้งหมด
การเลือกใช้แต่ละรุ่นควรพิจารณาจากบริเวณที่ฉีด ความลึกของรอย และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสูตรให้เหมาะกับสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล
ฟิลเลอร์ Flore สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณบนใบหน้า แต่การเลือกใช้ควรพิจารณา “รุ่นของฟิลเลอร์” ให้เหมาะสมกับความลึกของชั้นผิวและลักษณะของปัญหาในแต่ละจุด
แม้ Flore จะเป็นฟิลเลอร์ที่มีหลากหลายรุ่นให้เลือก แต่การใช้ในแต่ละจุดควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ฟิลเลอร์ Flore, Juvederm และ Restylane ล้วนเป็นฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิคแอซิดแบบ cross-linked ที่ได้รับความนิยมสูงในคลินิกความงาม แต่แต่ละแบรนด์มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในด้านเนื้อเจล การกระจายตัว การคงรูป และความเหมาะสมกับบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกแบรนด์ไม่ได้อยู่ที่ “ดีกว่า” แต่อยู่ที่ “เหมาะกับจุดไหน/เนื้อผิวแบบใด” และ “แพทย์คุ้นเคยกับเจลแบบไหน” มากกว่า เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด
ฟิลเลอร์กลุ่ม Skin Booster ได้รับความนิยมสูงในช่วงหลัง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวมากกว่าปรับโครงหน้า และทั้ง 3 แบรนด์ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบในบทความนี้คือ Belotero Revive, Juvederm Skinvive และ Flore Aqua‑S
ทั้ง 3 ตัวนี้ไม่เน้นการปรับรูปหน้าแบบชัดเจน แต่เหมาะกับการเติมน้ำให้ผิว เติมความอิ่มฟู และฟื้นฟูริ้วรอยเล็กๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนไข้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบ “ผิวดีขึ้น” โดยไม่รู้สึกว่าไปทำอะไรมาชัดเจน
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบ Skin Booster: Belotero vs Skinvive vs Flore ตัวไหนฉ่ำวาวจริง?
ฟิลเลอร์ Flore ได้รับรีวิวในแง่บวกจากแพทย์และคนไข้หลายราย โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการความละมุน เช่น ใต้ตา ขมับ หรือบริเวณที่ผิวบาง ซึ่งต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อเบาและกระจายตัวได้ดี
โดยรวมแล้ว Flore เป็นฟิลเลอร์อีกแบรนด์หนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มคลินิกที่เน้น “งานธรรมชาติ” หรือ “ผลลัพธ์ที่ดูเหมือนไม่ได้ทำ” เหมาะกับทั้งเคสใหม่และผู้ที่ต้องการเติมซ้ำโดยไม่อยากให้ผิวแข็งหรือดูโป๊ะ
ฟิลเลอร์ Flore เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า หรือลดความเหนื่อยล้าของใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบาง หรือเคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนแล้วต้องการความละมุนมากขึ้น
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายบุคคล
การฉีดฟิลเลอร์ Flore เป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามขั้นตอนและคำแนะนำการดูแลทั้ง “ก่อน” และ “หลัง” ฉีดอย่างเหมาะสม
ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ Flore สามารถสังเกตได้ทันทีหลังทำ โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกหรือฟื้นฟูผิวบริเวณใต้ตา อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนจะอยู่ในช่วง 3–7 วันหลังฉีด เมื่ออาการบวมและรอยช้ำจางลง
Flore เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อเริ่มเห็นผลลดลง และควรอยู่ภายใต้การติดตามผลจากแพทย์เท่านั้น
ราคาของฟิลเลอร์ Flore อาจแตกต่างกันไปตามรุ่นที่ใช้ ปริมาณที่ฉีด และระดับความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยส่วนมากจะอยู่ในช่วงราคากลางถึงพรีเมียมเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ HA ทั่วไป
ราคานี้รวมถึงค่ายาชา ค่าหัตถการ และค่าประเมินโดยแพทย์แล้วในคลินิก ทั้งนี้ควรสอบถามราคาก่อนรับบริการ
คำแนะนำ: อย่าเลือกฉีดฟิลเลอร์เพียงเพราะราคาถูก ควรพิจารณาคุณภาพยา ประสบการณ์แพทย์ และการรับรองของคลินิกเป็นหลัก เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
A: Flore ผลิตในประเทศฝรั่งเศส ได้รับมาตรฐาน CE (Conformité Européenne) ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ของยุโรป
A: ของแท้จะมีกล่องซีลสนิท มี serial number, วันหมดอายุชัดเจน และควรฉีดโดยแพทย์ที่สามารถเปิดกล่องให้ดูต่อหน้าได้ก่อนฉีด
A: รุ่นที่เหมาะกับใต้ตาคือ Aqua‑S หรือ S เนื่องจากเนื้อเจลบางและนุ่ม ลดความเสี่ยงการเป็นก้อนหรือบวมใต้ผิว
A: โดยเฉลี่ย 6–12 เดือน ขึ้นกับรุ่นที่ใช้และลักษณะผิวของแต่ละบุคคล
A: เหมาะมากสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นด้วยฟิลเลอร์ที่เนื้อบาง ละลายง่าย และผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
A: ในตัวฟิลเลอร์ Flore มีสาร Lidocaine ผสมอยู่แล้ว จึงช่วยลดอาการเจ็บได้มาก แพทย์มักทายาชาก่อนฉีดร่วมด้วย
ฟิลเลอร์ Flore เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูละมุน เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในจุดที่ผิวบางหรือต้องการความละเอียดอ่อน มีรุ่นให้เลือกหลายแบบ รองรับทั้งการฟื้นฟูผิวและการปรับโครงหน้า
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ฟิลเลอร์ใด ๆ ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมเลือกสูตรและเทคนิคที่เหมาะกับปัญหาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด